กองทัพบกแถลงต่อคณะผู้ช่วยทูตทหาร 23 ประเทศ ชี้แจงข้อเท็จจริงสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา
ที่มณฑลทหารบกที่ 22 ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ กองทัพบก ชี้แจงสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ต่อคณะผู้ช่วยทูตทหารจาก 23 ประเทศ พร้อมด้วยเอกอัครราชทูต อุปทูต ผู้แทนทางการทูต และสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศ ก่อนการลงพื้นที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อสังเกตการณ์พื้นที่พลเรือนที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์สู้รบที่เกิดขึ้น
ในการแถลง เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงการดำเนินงานของกองทัพในการรักษาอธิปไตย ยึดมั่นในหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และย้ำถึงความมุ่งมั่นของกองทัพที่จะแก้ปัญหาด้วยกลไกทวิภาคีที่ไทยและกัมพูชามีอยู่ ด้วยความจริงใจและโดยสันติวิธีมาโดยตลอด
ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาดำเนินการยั่วยุเพื่อสร้างความตึงเครียดด้วยกิจกรรมทางทหารและพลเรือน โดยมีลำดับเหตุการณ์ที่สำคัญ ดังนี้
13 กุมภาพันธ์ 2025 มีการพานักท่องเที่ยวกัมพูชาขึ้นมาร้องเพลงปลุกใจในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม
28 กุมภาพันธ์ 2025 ก่อเหตุเผาศาลาตรีมุข สัญลักษณ์ความร่วมมือในพื้นที่พิพาทรอยต่อ 3 ประเทศคือ ไทย กัมพูชา และ สปป.ลาว
มีนาคม-เมษายน 2025 ทหารกัมพูชาดัดแปลงภูมิประเทศแนวชายแดนเพื่อทางการทหาร เสริมความแข็งแรงของที่มั่น ปรับปรุงเส้นทาง และการขยายแนวเขตคูเลตเข้ามาในเขตประเทศไทย
เมษายน-พฤษภาคม 2025 ฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนย้ายกำลังพลเพิ่มเติม และอาวุธยุทโธปกรณ์ประชิดชายแดนไทย-กัมพูชาเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ตามที่มีหลักฐานการพิสูจน์ทราบ จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมของนักวิจัยชาวออสเตรเลีย ต่อมาฝ่ายกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในเขตแดนของไทย โดยเข้ามาขุดคูเลตติดต่อ
28 พฤษภาคม 2025 กัมพูชาเริ่มเปิดฉากการยิง (Skirmish) ระหว่างหน่วยในพื้นที่ โดยฝ่ายไทยได้ตอบโต้
เพื่อเป็นการป้องกันตัวบริเวณช่องบก กองทัพและรัฐบาลไทยพยายามใช้การแก้ไขปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งไม่เป็นผล
ช่วงเดือนกรกฎาคม 2025 ทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลหลายพื้นที่ในเขตแดนไทย จนทำให้ทหารไทยลาดตระเวนบาดเจ็บสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดสังหารบุคคล PMN-2 ถึง 2 ครั้ง ทำให้เกิดการสูญเสีย ขาขาด 2 นาย และมีบางส่วนบาดเจ็บ ซึ่งเป็นการกระทำที่ฝ่ายกัมพูชาจงใจละเมิดหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง อีกทั้งเป็นการจงใจละเมิดอนุสัญญาออตตาวา ที่ทั้งไทยและกัมพูชาให้สัตยาบัน
นอกจากนั้น ในพื้นที่ดังกล่าวได้ดำเนินการเก็บกู้วัตถุระเบิดภายใต้ความร่วมมือของนานาชาติ จนมีความปลอดภัยเป็นที่ประจักษ์แล้ว
ในขณะเดียวกันฝ่ายกัมพูชาพยายามแสดงการยั่วยุโดยส่งทหารกัมพูชาทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบแสดงเป็นพลเรือน ตลอดจนจัดตั้งมวลชนชาวกัมพูชาจากกรุงพนมเปญและใกล้เคียงเข้ามาในพื้นที่ปราสาทตาควาย ปราสาทตาเมือน และพื้นที่อื่นๆ ตามแนวชายแดน เพื่อจัดกิจกรรม ทำคอนเทนต์ แสดงออกในลักษณะยั่วยุนักท่องเที่ยวชาวไทย ประชาชนไทย และทหารไทยในพื้นที่จนเกิดการกระทบกระทั่ง มีความเสี่ยงที่จะเกิดการปะทะกันระหว่างคนไทยและคนกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทต่างๆ
กองทัพบกยังชี้แจงมาตรการควบคุมชายแดนและการเปิดฉากยิงของกัมพูชา ที่ปะทุขึ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2025 ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยทหารกัมพูชาใช้ปืนเล็กยาว ปืน และเครื่องยิงลูกระเบิด (Mortar) จนนำไปสู่การปะทะกัน
จากนั้นฝ่ายกัมพูชายกระดับเป็นการใช้กำลังรบและอาวุธยิงสนับสนุน ทั้งปืนใหญ่และใช้จรวดหลายลำกล้อง BM-21 ในการโจมตีฝ่ายไทยตลอดแนวชายแดน โดยจงใจยิงเป้าหมายพลเรือน ซึ่งห่างจากชายแดนในระยะ 10-30 กิโลเมตร ได้แก่
- โรงพยาบาลพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์
- ปั๊มน้ำมัน PTT บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-Eleven บ้านผือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- โรงเรียนในจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ
- บ้านเรือนราษฎร เช่น หมู่บ้านกรวด บ้านกุดเชียง ในพื้นที่ จังหวัดสุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษและอุบลราชธานี
ผลจากการโจมตีเป้าหมายพลเรือนของฝ่ายกัมพูชา ส่งผลให้พลเรือนไทยบาดเจ็บ 36 คน เสียชีวิต 15 คน ซึ่ง 1 ในจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นเด็กอายุเพียง 8 ขวบ และมีประชาชนต้องอพยพจำนวนมากกว่า 150,000 คน
ชี้แจงการตอบโต้ของไทย
สำหรับการตอบสนองของประเทศไทย กองทัพบกยืนยันว่า ฝ่ายไทยตอบโต้ภายใต้หลักการแห่งการป้องกันตนเอง (Right of Self-Defense) ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายระหว่างประเทศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ( Article 51 of the UN Charter) ซึ่งระบุว่า “ไม่มีบทบัญญัติใดในกฎบัตรนี้ จะกระทบสิทธิของรัฐในการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย หากมีการโจมตีด้วยอาวุธเกิดขึ้นต่อรัฐนั้น” การตอบโต้ของฝ่ายไทยจึงเป็นการดำเนินการที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้หลักความจำเป็นและความได้สัดส่วน (Necessity and Proportionality) โดยมีเป้าหมายเพียงเพื่อ ยับยั้งภัยคุกคาม ลดการสูญเสียของพลเรือน และรักษาเสถียรภาพของอธิปไตยแห่งชาติทั้งนี้ฝ่ายไทยมิได้มีเจตนาที่จะรุกรานหรือกระทำการใด ๆ ที่เกินขอบเขตการป้องกันตนเองจากการคุกคามโดยฝ่าย กัมพูชา
ฝ่ายไทยยืนยันว่าได้ทำการโจมตีเป้าหมายทางทหารเท่านั้น ในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้การโจมตีแบบไม่เลือกเป้า (Indiscriminate Target) ทำให้เกิดการสูญเสียทางพลเรือนของฝ่ายไทย
นอกจากนี้ที่ตั้งอาวุธยิงสนับสนุนในเขตชุมชนพลเรือน เสมือนเป็นการใช้โล่มนุษย์ ซึ่งฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ไปยังเป้าหมายดังกล่าว เพราะถือเป็นการเจตนาละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถให้อภัยได้ และไม่มีประเทศอารยะใดในโลกที่ยอมรับการกระทำซึ่งไร้มนุษยธรรมในลักษณะดังกล่าว
ภายหลังบรรลุข้อตกลงหยุดยิง ในการเจรจาที่มาเลเซีย เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบว่ากัมพูชายังคงดำเนินการทางทหาร โดยช่วงเวลาหลังข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในเวลาเที่ยงคืน พบว่าฝ่ายกัมพูชาได้ละเมิดข้อตกลงหยุดยิงในพื้นที่ดังต่อไปนี้
- พื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี
- พื้นที่ซำแต จังหวัดศรีสะเกษ
- ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ
- พื้นที่ภูมะเขือ/ช่องอานม้า จังหวัดศรีสะเกษ
- พื้นที่พลาญยาว จังหวัดศรีสะเกษ
- ปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์
ทั้งนี้ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิง จนถึงวันที่ 30 ก.ค.68 เวลา 05.10 น. และเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 ตรวจพบทหารกัมพูชาเพิ่มเติมกำลังในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนไทยและการใช้อากาศยานไร้คนขับของฝ่ายกัมพูชา บินตรวจการณ์ในพื้นที่ตอนในของฝ่ายไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ตอบโต้การบิดเบือนข้อมูล
กัมพูชากล่าวหาว่าไทยรุกรานกัมพูชา และละเมิดกติกาสหประชาชาติ อำนาจอธิปไตย และอาณาเขตรัฐ ซึ่งตามข้อเท็จจริงประเทศไทยเป็นรัฐสมาชิกสหประชาชาติที่เคารพในกฎบัตรสหประชาชาติอย่างเคร่งครัด รวมถึงหลักการไม่ใช้กำลังในการแก้ไขข้อพิพาทระหว่างประเทศ (Article 2 (4) UN Charter)
การปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็น การป้องกันตนเองอย่างจำเป็นและได้สัดส่วน (Necessity & Proportionality) ตามสิทธิที่ระบุไว้ใน Article 51 ของกฎบัตรฯ หลังจากฝ่ายกัมพูชา ใช้อาวุธโจมตีด่านทหาร ฝ่ายปกครอง และชุมชนไทยในหลายพื้นที่ ซึ่งมีหลักฐานชัดเจนว่ากำลังฝ่ายกัมพูชาเคลื่อนกำลังเข้ามาในเขตแดนของไทยหลายครั้ง พร้อมใช้อาวุธโจมตีเป้าหมายของฝ่ายไทยโดยเฉพาะเป้าหมายพลเรือน เช่น โจมตี รพ.พนมดงรัก ซึ่งห่างจากชายแดน เกือบ 10 กิโลเมตร และปั๊มน้ำมันบ้านผือ ที่ห่างจากชายแดน 30 กิโลเมตร
สำหรับการใช้ระเบิดเคมี เป็นคำกล่าวหาที่ร้ายแรงและไร้มูลความจริงโดยสิ้นเชิง ประเทศไทยเป็นภาคีของอนุสัญญาว่าด้วยอาวุธเคมี (Chemical Weapons Convention – CWC) และปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด ไม่มีหน่วยใดในกองทัพไทยที่ใช้อาวุธเคมีทั้งในแง่ยุทธวิธีหรือยุทธศาสตร์
การกล่าวหาเช่นนี้เข้าข่าย War Propaganda และเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อใส่ร้าย
ส่วนกรณีภาพ “ระเบิดเคมี” ที่ฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ โดยรัฐบาลกัมพูชา แท้จริงคือภาพภารกิจการดับไฟป่าในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ปี2022 ซึ่งสามารถดูภาพดังกล่าวได้ผ่านทางสื่อออนไลน์
กรณีที่ไทยใช้เครื่องบิน F-16 และอาวุธหนักจำนวนมากนั้น อาวุธทั้งหมดที่ใช้ในการตอบโต้และมีความเหมาะสมตามสัดส่วน เป็นเพื่อสกัดการรุกล้ำของฝ่ายกัมพูชา และกระทำต่อเป้าหมายทางทหาร บริเวณแนวชายแดน ไม่ใช่การโจมตีเชิงรุก แต่เป็นฝ่ายกัมพูชาต่างหากที่วางกำลังและยิงอาวุธจากพื้นที่พลเรือน ใช้ชุมชนเป็น “โล่มนุษย์” ซึ่งเป็นการละเมิด International Humanitarian Laws อย่างร้ายแรง
กองทัพบกชี้แจงต่อไปว่า ต่อประเด็นไทยทิ้งระเบิด MK-84 ตกใส่บ้านเรือนของประชาชนกัมพูชา ตามคำแถลงของ นายเฮง รัตนา หัวหน้า CMAC ของกัมพูชา มีลักษณะชัดเจนของการ บิดเบือนข้อมูล โดยอ้างภาพเก่าและสร้างการเชื่อมโยงที่ไม่มีมูลความจริง
ฝ่ายไทยขอปฏิเสธข้อกล่าวหาของกัมพูชาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งภาพวัตถุระเบิดที่กัมพูชาอ้างว่าเป็น MK-84 นั้น เป็นระเบิดเก่าจากยุคสงครามเวียดนาม และไม่เป็นไปตามหลักทางวิทยาศาสตร์
ทั้งนี้ไทยขอประณามและขอให้กัมพูชาหยุดการกล่าวหาอันเป็นเท็จ เพื่อปลุกปั่นกระแสความเกลียดชัง และขอให้หันมาร่วมมือกับประเทศไทยและประชาคมระหว่างประเทศในการคลี่คลายสถานการณ์ชายแดนอย่างสันติผ่านการเจรจาและความร่วมมือที่ตรงไปตรงมา
ขณะที่ล่าสุด วานนี้ (30 กรกฎาคม) ฝ่ายกัมพูชาเชิญคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกัมพูชาไปตรวจพื้นที่การรบห่างจากชายแดน 30 กิโลเมตร แต่ฝ่ายกัมพูชากลับเปลี่ยนแผน พาคณะผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศ ประจำกัมพูชา ไปพื้นที่ช่องอานม้า ซึ่งเป็นพื้นที่การสู้รบ ยังมีความเสี่ยงต่ออันตราย
กองทัพบกกล่าวสรุปช่วงท้าย เน้นย้ำว่า การปะทะระหว่างไทย กับกัมพูชานั้น ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้เริ่มยิงก่อน โดยอาวุธระยะไกลยิงต่อ เป้าหมายพลเรือน และทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเสียหายของพลเรือนที่ยอมรับไม่ได้ทั้งนี้ หลังจากที่มีการเจรจาตกลงหยุดยิงแล้วแต่ ฝ่ายกัมพูชายังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง
ยิ่งไปกว่านั้น กัมพูชาได้เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบ ซึ่งไทยขอให้ประชาคมระหว่างประเทศ ร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจ และร่วมกันผลักดันให้มีการเจรจาทวิภาคี เพื่อแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี