SCC เปิดแผนเชิงรุก หาโอกาสเข้าซื้อกิจการ พร้อมขายสินทรัพย์ที่ไม่สร้างกำไร
SCC แย้มยังมองหาโอกาสซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง พร้อมพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรออก เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กร เชื่อครึ่งหลังยังมีความท้าทาย บนความเสี่ยงการขึ้นภาษีของสหรัฐ พร้อมเร่งกลยุทธ์ ฝ่าวิกฤติ สร้างการเติบโตต่อเนื่อง
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่า บริษัทยังมองหาโอกาสซื้อกิจการ (M&A) อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา ซึ่งหากได้ดีลที่ดีพร้อมลงทุนทันที
ขณะเดียวกันบริษัทยังอยู่ระหว่างพิจารณาขายสินทรัพย์ที่ไม่ทำกำไรอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ปัจจุบันยังมีอยู่ ซึ่ง อยู่ระหว่างเจรจาและเร่งดำเนินการ อาทิ สินทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจวัสดุก่อสร้าง และซีเมนต์ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กร และเชื่อว่าหากจำหน่ายออกทั้งหมด จะทำให้ประสิทธิภาพของบริษัทดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมทั้งปี 2568 บริษัทยังคงเป้ายอดขายเติบโต 3-5% แม้ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังคาดเดาได้ยาก แต่หากจะปรับแผนธุรกิจตอนนี้ไม่มีประโยชน์ จึงต้องเดินตามแผนที่กำหนดไว้อย่างเต็มที่ แต่ยอมรับว่ามีโอกาสทำไม่ได้ตามเป้าหมาย
อย่างไรก็ตามมองว่า EBIDA จะทำได้ดีกว่าปีก่อนที่ทำได้ 54,000 ล้านบาท หลังครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 30,320 ล้านบาท โดยวางงบลงทุน 30,000 ล้านบาท
ส่วนโรงงานลองเซิน ปิโตเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) คาดเปิดดำเนินเชิงพาณิชย์ (COD) ช่วงปลายเดือนส.ค.2568 ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้ายวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 หลังจากนั้นจะพิจารณานำ SCGC เข้าซื้อขายในตลาดหุ้น คาดชัดเจนในปี 2571
สำหรับประเด็นการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 มีโอกาสอยู่ในระดับที่สูงกว่าครึ่งปีแรกที่อยู่ระดับ 10% ซึ่งคาดว่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากผลกระทบดังกล่าว และการปรับตัวของธุรกิจจะเกิดขึ้นอีกมากมายในเดือนหน้า เช่นเดียวกันกับบริษัทที่มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้บริษัทเร่งเดินหน้าทรานฟอร์มธุรกิจ อาทิ การลดต้นทุน การขายสินทรัพย์ และการลงทุนต่างๆ ที่ต้องเดินหน้าต่อเนื่อง ซึ่งมองว่าสถานการณ์ ยังท้าทายอยู่มากจากเศรษฐกิจไทย อาเซียน และโลก ที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และราคาพลังงานผันผวน เอสซีจี จึงเร่งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ (Business Competitiveness) เพื่อสู้กับทุกความท้าทายดังกล่าว ได้แก่
1.) ชูฐานผลิตหลากหลายใน “อาเซียน” (Regional Optimization)
ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งและได้เปรียบของเอสซีจี โดยเน้นผลิตและส่งออกจากเวียดนามที่ได้รับอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ได้เปรียบอยู่ที่ 20% และมีต้นทุนที่แข่งขันได้ ประกอบกับเป็นฐานการบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง เช่น เอสซีจีซี เตรียมแผนกลับมาดำเนินการเชิงพาณิชย์โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ เวียดนาม (LSP) ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2568
ขณะที่โครงการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันด้วยวัตถุดิบก๊าซอีเทนของ LSP คืบหน้าตามแผน คาดแล้วเสร็จปี 2570 เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ขยายฐานผลิตปูนคาร์บอนต่ำในเวียดนามใต้ กำลังการผลิตสูงสุด 8,000 ตันต่อวัน รองรับตลาดเวียดนาม และส่งออกไปสหรัฐฯ แคนาดา ออสเตรเลีย ทวีปโอเชียเนีย เอสซีจี เดคคอร์ เพิ่มกำลังการผลิตกระเบื้องเกรซ พอร์ซเลนที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง อีกทั้งบริหารต้นทุนการผลิตกระเบื้องให้แข่งขันกับผู้เล่นระดับโลกได้ และ เอสซีจีพี เดินหน้าเสริมแกร่งของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจรในเวียดนาม ครอบคลุมตั้งแต่การผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์กระดาษ บรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ จนถึงบรรจุภัณฑ์อาหาร
นอกจากนี้ เอสซีจี ยังมองหาโอกาสในตลาดอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เช่น ทวีปแอฟริกา มีการขยายตลาด “ปูนเม็ด” (Cement Clinker) ของเอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล ทวีปเอเชีย มีการขยายตลาด “3D Printing Solution” เพื่อการก่อสร้างเสร็จไว ไร้ Waste ไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย มาเลเซีย ทวีปโอเชียเนีย มีการขยายตลาด “หลังคาและฝาฝ้า” ที่พัฒนาคุณสมบัติให้เหมาะกับลูกค้าออสเตรเลียนิวซีแลนด์ ของเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง การขยายตลาด “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 1 และ 2” ซึ่งได้รับการรับรอง มอก.ใหม่ 2594-2567 และ Environmental Product Declaration (EPD) North America รายแรกของไทย ไปออสเตรเลีย
รวมทั้งเตรียมออก “ปูนเอสซีจี คาร์บอนต่ำ Gen 3” สู่ตลาดเป็นรายแรก โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างทำ Pilot Project กับกว่า 15 โครงการ ของเอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ตลอดจนทวีปยุโรป ที่มีการขยายตลาด “กระเบื้องเกรซ พอร์ซเลน” ไปสาธารณรัฐเช็ก ของเอสซีจี เดคคอร์ และการปรับกระบวนการผลิต “บรรจุภัณฑ์อาหาร” เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนของเอสซีจีพี
2.) “ลดต้นทุน” แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก
การใช้หุ่นยนต์และ AI เช่น เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ ใช้หุ่นยนต์บรรจุปูนซีเมนต์และลำเลียงไปยังคลังสินค้า และใช้ระบบจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (AS/RS Warehouse System) ช่วยจัดสินค้าไปยังรถขนส่ง รวมทั้งร่วมกับพาร์ทเนอร์ พัฒนารถบรรทุกไฟฟ้าขนส่งในเหมือง (EV Mining Truck) แบบไร้คนขับเป็นรายแรกในไทย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ระบบอัตโนมัติผลิตกระเบื้องและครอบหลังคา และแผ่นฝ้าผนังสมาร์ทบอร์ด ทำให้ได้สินค้าคุณภาพมาตรฐาน ลดค่าใช้จ่ายจากของเสียในกระบวนการผลิต และลดต้นทุนบริหารจัดการ นอกจากนี้ ได้เริ่มใช้ AI ช่วยลดขั้นตอนออกแบบและพัฒนาสินค้าใหม่ เอสซีจี เดคคอร์ ใช้ระบบอัตโนมัติเคลื่อนย้ายชิ้นงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ในกระบวนการผลิตและบรรจุ รวมทั้งใช้ AI ช่วยออกแบบสินค้า จำลองกระบวนการก่อนผลิตจริง ตรวจสอบคุณภาพ รวมถึงบริหารคลังสินค้า และ เอสซีจีซี ใช้หุ่นยนต์บริหารจัดการโรงงาน อาทิ โรงงานนวพลาสติกอุตสาหกรรมที่ผลิตท่อและข้อต่อ PVC รวมถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปจาก PVC มีสัดส่วนการใช้หุ่นยนต์ (Robot Density) เทียบเท่าระดับ Best in Class ของโลก และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อลดระยะเวลาในการพัฒนาพอลิเมอร์การลดต้นทุนบริหารจัดการ จากการรวมศูนย์การผลิตของโรงงานที่มีความซ้ำซ้อน
3.) ดัน “สินค้า Smart Value - HVA - Green” รุกตลาดเติบโตสูง
เร่งขยาย สินค้าราคาคุ้มค่า (Smart Value Products - SVP) ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน เช่น “ปูน ADAMAX” ในเวียดนาม“ปูน 5 Star” ในกัมพูชา “ปูน Bezt” ในอินโดนีเซีย โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “หลังคาเซรามิก เอสซีจี รุ่น Celica Curve” โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และ “กระเบื้อง และสุขภัณฑ์ SOSUCO” โดย เอสซีจีเดคคอร์
สินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products - HVA)และโซลูชัน เช่น “CHILLOX” โซลูชันประหยัดพลังงานสำหรับคลังสินค้าห้องเย็นที่ช่วยรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ลดการใช้ไฟฟ้า และกักเก็บความเย็นได้นานในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตของโรงงานพอลิโอเลฟินส์มาต่อยอดสร้างโอกาสทางธุรกิจ รวมทั้งต่อยอดความเชี่ยวชาญสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ อาทิ “DRS” (Digital Reliability Service Solutions) บริการด้านดิจิทัลโซลูชันอัจฉริยะสำหรับภาคอุตสาหกรรมครบวงจรรายแรกของโลก โดย เอสซีจีซี“ฝาปิดท่อคอนกรีตกำลังอัดสูงสำหรับท่อร้อยสายไฟใต้ดิน” ที่ใช้เทคโนโลยีคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ช่วยลดอุบัติเหตุและลดเสียงดังเมื่อรถวิ่งผ่าน และ “ปูนจับเซี้ยมสำเร็จรูป” สำหรับปั้นก้อนแต่งมุมให้เรียบตรงและได้ฉาก รายแรกในไทย
โดย เอสซีจี ซีเมนต์แอนด์กรีนโซลูชันส์ “ONNEX ArcBox” นวัตกรรมป้องกันไฟไหม้ลุกลามแผงโซลาร์ที่ใช้เทคโนโลยีจากอังกฤษ และ “ผนังสมาร์ทบอร์ด เอสซีจี ซูเปอร์” ที่พัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นและยืดหยุ่น โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง “ฟิล์มติดอาคาร Raycoool” ที่ใช้เทคโนโลยี Radiative Cooling ช่วยสะท้อนรังสีความร้อนออกจากอาคาร ทำให้ในอาคารเย็นขึ้นและลดการใช้พลังงาน โดย เอสซีจี ดิสทริบิวชั่น แอนด์ รีเทล “สุขภัณฑ์อัตโนมัติ รุ่น Klirr” “วัสดุตกแต่งพื้นผิว Standard Click Lock” ติดตั้งไว กันน้ำ กันปลวก และ “กระเบื้อง X STRONG” กันรอยขีดข่วนและรับน้ำหนักเป็นพิเศษ พร้อมปล่อยประจุบวกเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้ โดย เอสซีจี เดคคอร์
สินค้ากรีน (Green Products) เช่น “ประตูหน้าต่างไวนิลคาร์บอนต่ำ WINDSOR” รายแรกในไทย โดย เอสซีจีซี และ “กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้น DECAAR by SCG รุ่นคอมฟอร์ท” ที่มีเทคโนโลยี HeatSync ช่วยสะท้อนความร้อนได้ดีและคายความร้อนได้เร็ว โดย เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง”
นายธรรมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “แม้สถานการณ์สงครามการค้าจะยังไม่แน่นอน เอสซีจี เชื่อมั่นว่ากลยุทธ์ที่ชัดเจนการปรับตัวที่รวดเร็ว และความทุ่มเทของทีมงานทุกกลุ่มธุรกิจ จะช่วยรักษาความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรไว้ได้ อีกทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งระบบนิเวศทางธุรกิจ ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืน
เอสซีจี จึงร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จัดโครงการ ‘NZAP: Net Zero Accelerator Program’ และ ‘Go Together’ ต่อเนื่อง รวมทั้งจัด Leadership Forum ในงาน ‘ESG Symposium’ ช่วงสิงหาคม - ตุลาคม 2568 ซึ่งเชิญองค์กรชั้นนำระดับโลก เช่น สำนักงานประสานงานการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (DCO) สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) รวมทั้งองค์กรชั้นนำระดับประเทศ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย มาร่วมหาแนวทางเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันให้ธุรกิจ ตลอดจนผลักดันการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยให้ขับเคลื่อนสู่สังคมคาร์บอนต่ำ(Green Transition) และพร้อมแข่งขันระดับโลกท่ามกลางความท้าทายต่าง ๆ ได้”