เปิด 5 ปัจจัย หนุนเงินบาทแข็ง 5.4% สูงเป็นอันดับ 6 ในเอเชีย
การเคลื่อนไหวของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วง 7 เดือนของปี 2568 เงินบาทแข็งค่า 5.4% เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ เป็นการแข็งค่าอันดับ 6 นำโดยสกุลเงินดอลลาร์ไต้หวันแข็งค่า 9.4% ถัดมาเป็นเงินเยนแข็งค่า 6.5% ตามมาด้วยเงินวอนแข็งค่า 6.4% ดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่า 6.1% และริงกิต 5.7%
ขณะที่การเคลื่อนย้ายเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติ(ฟันด์โฟลว์) ล่าสุดเป็นการไหลออกสุทธิในตลาดหุ้น 57,804 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนที่ไหลออกสุทธิ 147,940 ล้านบาท ขณะที่ตลาดตราสารหนี้ไหลเข้าสุทธิ 26,576 ล้านบาทจากสิ้นปีก่อนที่มีไหลออกสุทธิ 67,393 ล้านบาท
นางสาวกาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การแข็งค่าของเงินบาทเป็นไปตามการแข็งค่าสกุลเงินเอเซีย แต่รอบนี้เงินบาทไม่ได้แข็งค่าเป็นอันดับต้นๆ โดยมาจาก 5ปัจจัย ได้แก่
- ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลกระทบจากเรื่องอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐ
- เงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมน้อยลง ในแง่เป็นทุนสำรอง
- ความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สะท้อนจากความพยายามที่นายโดนัล ทรัมป์กดดันประธานเฟดให้ลดดอกเบี้ย
- การปรับมุมมองว่า เฟดจะเข้าสู่ช่วงลดดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังมีสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มอ่อนแอ จากตัวเลขจริงของตลาดแรงงานที่ออกมาแย่กว่าตลาดคาด
- ราคาทองคำ เนื่องจากเงินบาทมีความเชื่อมโยงกับราคาทองคำ เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ทิศทางของเงินบาทจะแข็งค่า แต่เมื่อมีการขายทองคำทำกำไรเงินบาทจะกลับทิศเป็นอ่อนค่า
ปัจจุบันตลาดหันมาให้น้ำหนักกับปัจจัยพื้นฐานของค่าเงินบาท โดยมองเศรษฐกิจไทยค่อนข้างอ่อนแอลงในครึ่งปีหลังจากความกังวลถึงผลกระทบของอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐหรืออาจจะมีไทม์ไลน์ทางการเมืองเข้ามา ซึ่งหากตลาดให้น้ำหนักเรื่องเหล่านี้มากขึ้น อาจจะเห็นเงินบาททยอยลดการแข็งค่าลง ซึ่งจากจุดนี้ไปจนถึงสิ้นปี ธนาคารกสิกรไทยคาดว่า เงินบาทจะเคลือนไหวแตะ 33.70 บาทต่อดอลลาร์
“โทนของเงินบาทต้นปีที่ผ่านมา อาจมีซัพอร์ตจากหลายปัจจัย ทั้งเงินดอลลาร์อ่อนค่า, Inflow เข้าตลาดบอนด์ ,ทองคำทำราคาสูงสุด แต่ตอนนี้เหลือแค่ปัจจัยเดียวคือ เงินดอลลาร์อ่อนค่า ส่วนแนวโน้มถ้าความนิยมในเงินดอลลาร์น้อยลงเรื่อยๆ เงินบาทอาจเป็นลักษณะ Sideway และเมื่อคนรับรู้การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ไปแล้วจะกลับมาเน้นเรื่องเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแอลง ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของบ้านเรา อาจจะเห็นเงินบาทปิด ณ สิ้นปีที่ 33.70 บาทอต่อดอลลาร์”
ด้านฟันด์โฟลว์นั้น ระยะหลังจะมีฟันด์โฟลว์ไหลเข้าตลาดหุ้น แต่อีกขากลับเห็นฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดบอนด์ จึงไม่ชัดเจนว่า ฟันด์โฟลว์ที่เข้ามาจะสนับสนุนค่าเงินบาท ซึ่งโดยรวมยังเป็นเงินทุนไหลออกสุทธิ (Net out Flow) แต่ปีนี้พูดไม่ได้ว่า Net out Flow มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจไทยอ่อนแอ
“เงินบาทที่แข็งค่า เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ท้าทายผู้ส่งออกไทยในช่วงที่เหลือ ขณะที่ผู้ส่งออกอยู่ยากอยู่แล้วคือ ยังไม่ทราบว่าเรื่องอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐจะกระทบแค่ไหน และต้องดูแล/บริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย”
ด้านนายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETs ธนาคารกรุงไทยกล่าวว่า ถ้ามองในแง่ดัชนีค่าเงินบาททั้ง NEER หรือ REER จะไม่เห็นความแตกต่างมากนัก ทำให้มองได้ว่า การแข็งค่าของเงินบาทไม่ได้ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกไทยแย่ลง ถ้ามองในมุม REER อัตราเงินเฟ้อของไทยติดลบและต่ำกว่าประเทศอื่นๆก็จะช่วยหนุนให้เงินบาทไม่ได้อ่อนค่าไปมากเมื่อเทียบกับสกุลเงินของคู้ค้า
ช่วงที่เหลือปีนี้ สิ่งที่ท้าทายผู้ประกอบการทั้งฝั่งส่งออกและนำเข้าคือ การแข่งขันที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นจากผลกระทบของนโยบายการค้าของสหรัฐ นอกจากตลาดค่าเงินยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนในระดับสูง
โดยค่าเงินบาทอาจมีความผันผวนในระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรามองว่า บรรดาผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ Options และพิจารณาการใช้สกุลเงินท้องถิ่นหรือ Local Currencies เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซียไซรัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ครึ่งหลังปีนี้มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น โดยจะเห็นการลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างน้อยอีก 1 ครั้ง
สาเหตุมาจาก 2 ปัจจัยคือ เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวดีขึ้นและอัตราเงินเฟ้อโดยรวมไม่ได้เร่งตัวขึ้นมาก หลักๆ เศรษฐกิจไทยไม่ดีมากและตัวแปรจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาน้ำมันอยู่ในฝั่งควบคุมได้ จึงไม่น่ากังวล
ส่วนการลดดอกเบี้ยนโยบายในจังหวะเศรษฐกิจไม่ดีอย่างเก่งแค่ประคองผลเชิงลบคือ ทำให้เศรษฐกิจไม่หดตัว แต่ขณะเดียวกันเป็นการลดขีดความสามารถในการฟื้นตัวของศรษฐกิจ
ในทางปฎิบัติมองว่า ดอกเบี้ยนโยบายควรจะปรับลดตอนที่รัฐบาลดำเนินนโยบายการคลังที่ดี แต่ตอนนี้นโยบายคลังดูมึนงง ไม่เห็นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจแถมยังเจอสงครามการค้าที่จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยเหมือนเดิม
“ปัญหาดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้สูงกว่าเงินเฟ้อ และไม่มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งนโยบายการคลังที่ควรจะออกก็หายไป"
โจทย์ของรัฐบาลต้องมีการลงทุนในเชิงการคลัง หรือนโยบายภาษี เช่น ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือการลงทุนระดับ 5-10% ของจีดีพีเป็นอย่างน้อย คือต้องมี 1-2ล้านล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จริงๆ ควรจะออกมาตรการเชิงปรับโครงสร้าง ยิ่งไม่มีนโยบายปรับโครงสร้างยิ่งถ่วงเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นความท้าทาย
ส่วนอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐนั้นข้อตกลงสตาร์ทจากสหรัฐ ตอนจบแค่เราไปนั่งรอหน้าห้อง และอัตราภาษีนำเข้าของสหรัฐกับประเทศต่างๆที่ประกาศออกมา ส่วนตัวยังมองว่ายังไม่ใช่อัตราสุดท้าย เพราะเป็นข้อตกลงภายใต้เงื่อนไขที่ต้องติดตามกันต่อ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,121 วันที่ 10 - 13 สิงหาคม พ.ศ. 2568