BTG บวก 1% ลุ้นผลงาน Q2 โตเด่น รับราคาเนื้อสัตว์พุ่ง-ต้นทุนลด โบรกชูเป้า 25 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (15 ก.ค.68) ราคาหุ้น ณ เวลา 11:07 น. บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) หรือ BTG อยู่ที่ระดับ 17.80 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.14% สูงสุดที่ระดับ 17.90 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 17.60 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 25.16ล้านบาท
นายวสิษฐ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ BTG เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2568 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน โดยเป็นผลมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. การปรับพอร์ตสินค้าเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร มุ่งเน้นบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ และช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรที่สูงขึ้น, 2. ราคาปศุสัตว์ที่อยู่ในเกณฑ์ดี และ 3. ราคาต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ที่ยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ บริษัทจะมีการประกาศผลประกอบการ (Financial Result Announcement) ไตรมาส 2/2568 ในวันที่ 13 สิงหาคม 2568
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งปีหลังของปี 2568 คาดว่าจะยังเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งด้านปริมาณและราคา โดยเป็นผลมาจากกลยุทธ์ของบริษัทที่ขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง และมุ่งเน้นไปยังผลิตภัณฑ์ รวมทั้งช่องทางการจัดจำหน่ายที่เพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้แก่บริษัท
ส่วนราคาหมูในปัจจุบันมีการอ่อนตัวเล็กน้อยจากช่วงก่อนหน้า แต่คาดว่าเป็นเพียงปัจจัยระยะสั้น ในขณะที่ราคาไก่แนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลมาจากความต้องการในต่างประเทศที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในทวีปยุโรป
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 บริษัทคาดว่ารายได้รวมจะเติบโต 3-7% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวม 114,905.42 ล้านบาท ซึ่งมาจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจอาหารและโปรตีน ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/2568 ที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมแล้ว 30,444.65 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากประเทศกัมพูชาคิดเป็นเพียง 3-4% ของรายได้รวม โดยบริษัทมีฐานการผลิตอยู่ในประเทศกัมพูชาอยู่แล้ว ตลอดจนช่องทางการจัดจำหน่ายที่อยู่ภายในประเทศกัมพูชา ดังนั้น กรณีความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา จึงไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อธุรกิจของ BTG
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จํากัด ระบุว่า ฝ่ายวิเคราะห์มีมุมมองที่ระมัดระวังมากขึ้นต่อหุ้นในกลุ่มฟาร์มสัตว์บก แม้แนวโน้มผลประกอบการของ BTG ในไตรมาส 2/2568 จะโดดเด่น แต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นระดับสูงสุดของปี และจะชะลอลงในไตรมาส 3/2568 ตามราคาขายหมูเฉลี่ยที่ปรับลง จึงยังคงคำแนะนำ “เก็งกำไร” หรือ "TRADING" ราคาเหมาะสม 25 บาทต่อหุ้น ซึ่งเชิงกลยุทธ์ราคาหุ้นที่ย่อลงมามองว่ายังไม่ใช่จังหวะเข้าลงทุน โดยรอสัญญาณของการกลับมาขึ้นของราคาหมูหน้าฟาร์มในประเทศก่อน
ทั้งนี้ โดยรวมแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ของ BTG คาดโดดเด่น เติบโตทั้งจากไตรมาสก่อน และเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ทั้งในขาของราคาขายเฉลี่ย และปริมาณขาย ประกอบกับอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น จากต้นทุนการเลี้ยงที่ลดลง และบริษัทยังดำเนินแผนควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดจะเป็นกำไรที่ทำระดับสูงสุดของปี พร้อมคาดทั้งปี 2568 BTG จะมีกำไรสุทธิ 5,444 ล้านบาท และจะมีรายได้ที่ 123,341 ล้านบาท
สำหรับราคาหมูหน้าฟาร์มที่ปัจจุบันย่อตัวลงเป็น 80-82 บาทต่อกิโลกรัม เป็นผลจากสภาพอากาศที่เข้าสู่ช่วงฤดูฝน ทำให้กระทบการจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง รวมถึงผู้เลี้ยงรายย่อยในภาคตะวันตกมีการแห่ขายหมูออกสู่ตลาด จากการเก็งกำไรราคา และกังวลว่าราคาหมูจะตกหนุนปริมาณ Supply หมูในตลาดให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม BTG ยังคงมุมมองว่าผลกระทบดังกล่าวเป็นปัจจัยชั่วคราว และปริมาณ Supply ในประเทศยังได้รับผลกระทบจากโรคระบาด ASF (คาดปริมาณหมูปีนี้ที่ 19 ล้านตัว จาก 21 ล้านตัวในปี 2567) ทำให้ BTG ยังมองว่าราคาหมูในประเทศยังมีโอกาสปรับขึ้นได้ต่อจากนี้
ขณะที่ธุรกิจไก่ ราคาขายเฉลี่ยไก่ในประเทศทรงตัวต่อเนื่องบริเวณ 40-42 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนการส่งออกไก่ BTG เห็นสัญญาณบวกจากปริมาณคำสั่งซื้อที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในตลาดสหราชอาณาจักร (UK) และสหภาพยุโรป (EU) จากการระบาดของโรคไข้หวัดนกในประเทศบราซิลที่เป็นประเทศคู่แข่งหลักในการส่งออก อาจเป็นปัจจัยที่เข้ามาชดเชยราคาขายหมูเฉลี่ยที่อาจปรับลงในไตรมาส 3/2567 ได้บางส่วน
ส่วนสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา BTG ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะไม่ได้มีการซื้อขายข้ามชายแดน ธุรกิจในกัมพูชาเป็นการผลิตภายในประเทศเป็นหลัก ขณะที่ด้านสัญญาณอินเทอร์เน็ตมีการย้ายไปใช้สัญญาณจากทางเวียดนามแทน และยังไม่เห็นผลกระทบจากการแบนสินค้าของผู้ประกอบการไทยจากชาวกัมพูชา
นอกจากนี้ BTG ยังมุ่งเน้นในการขยายการเติบโตในตลาดต่างประเทศ โดยมีตลาดหลัก คือ สิงคโปร์ (Eggriculture) ที่ผลการดำเนินงานดีกว่าคาด และยังมีศักยภาพในการเติบโต รวมถึงโอกาสในการ Synergy กับ BTG อีกมาก อาทิ การนำสินค้าของ BTG เข้าไปจำหน่ายมากขึ้น, การควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจาก Know How ของ BTG และโอกาสในการขยายการส่งออกเนื้อหมูสดไปตลาดสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานประเทศสิงคโปร์ คาดจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/2568 ขณะที่ตลาดอื่น ๆ ที่ผู้บริหารมองว่ามีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดตะวันออกกลาง, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ถือเป็น Upside