ธุรกิจไทยในกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบ ยังดำเนินกิจการได้
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากสถานณ์ในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้น กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้มีการพูดคุยกับสำนักงานการค้าต่างประเทศของไทยในกัมพูชา พบว่าธุรกิจไทยที่เข้าไปลงทุนในกัมพูชา เช่น ธุรกิจสิ่งทอ ร้านค้าปลีก และสถานีบริการน้ำมัน ยังสามารถดำเนินกิจการได้เป็นปกติ พร้อมยืนยันว่ายังไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
นอกจากนี้ หากธุรกิจในต่างประเทศต้องการความช่วยเหลือโดยตรง กรมกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะประสานผ่านกรมการค้าต่างประเทศ ซึ่งดูแลเรื่องการค้าและการลงทุนไทยในต่างประเทศโดยเฉพาะ
อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนมิถุนายน 2568 นางอรมน ระบุว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์พบ มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 7,023ราย ลดลง 328 ราย (-4.46%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 67 ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 68 กลับเพิ่มขึ้น 5.34% และทุนจดทะเบียนเดือนมิถุนายน 68 อยู่ที่ 18,113 ล้านบาท ลดลง 9,866 ล้านบาทเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 67
ส่วนการจัดตั้งใหม่ในครึ่งแรกของปี 68 (มกราคม-มิถุนายน 2568) นางอรมน กล่าวว่า มีจำนวน 43,838 ราย ลดลง 2,545 ราย (-5.49%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 67 ขณะที่ทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 149,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,061 ล้านบาท (2.80%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 67 สะท้อนให้เห็นถึงปัจจัยเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่ท้าทายและการรอดูทิศทางเศรษฐกิจในประเทศ ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐช่วยเข้ามาลดผลกระทบบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและดึงความเชื่อมั่น
แต่เมื่อพิจารณาเชิงลึก นางอรมน ชี้ให้เห็นว่า ประเภทธุรกิจกว่า 328 ประเภทจาก 919 ธุรกิจที่มีอัตราการจัดตั้งเพิ่มขึ้น คิดเป็น 35.69% และมีธุรกิจบางกลุ่มเติบโตต่อเนื่อง เช่นธุรกิจให้คำปรึกษา ธุรกิจขนส่งสินค้า ธุรกิจขายส่ง และกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทที่ขยายตัวในช่วงครึ่งปีแรกติดต่อกันถึง 3 ปี
ขณะเดียวกันการจดทะเบียนเลิกเดือนมิถุนายน 68 มีจำนวน 1,468 ราย เพิ่มขึ้น 52 ราย (3.67%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 67 และมีทุนจดทะเบียนเลิก 10,403 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,499 ล้านบาท (112.16%) เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 67 จากการที่มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการถึง 3 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 4,324 ล้านบาท
ส่วนการจดทะเบียนเลิกครึ่งปีแรกของปี 68 (มกราคม-มิถุนายน 2568) นางอรมน กล่าวต่อว่า มีจำนวน 6,244 ราย เพิ่มขึ้น 205 ราย (3.39%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 67 (6,039 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 30,544 ล้านบาท ลดลง 46,205 ล้านบาท (-60.20%) เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 67
นอกจากนี้ นางอรวรรณให้ความเห็นว่า แม้ตัวเลขการจะตั้งธุรกิจจะชะลอตัวบ้าง แต่เงินลงทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของการจดธุรกิจตัวเลขขยับขึ้นเล็กน้อยแต่ทุนเลิกลดลง ซึ่งถือว่าเป็นไปตามวัฏจักรของการจดทะเบียนธุรกิจ โดยมีสัดส่วนการจัดตั้งธุรกิจต่อการจดทะเบียนเลิก อยู่ที่7:1 กล่าวคือจัดตั้ง 7 ราย เลิก 1 ราย ซึ่งสัดส่วนนี้
จะเท่ากับค่าเฉลี่ยของครึ่งปีแรกในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2563-2567)
ทั้งนี้ ในเดือนมิถุนายน และช่วงครึ่งปีแรก ของปี 68 มีธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุดและเลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
- ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป
- ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร
สำหรับแนวโน้มช่วงครึ่งปีหลังนี้ นางอรมนกล่าวเพิ่มเติมถึงการพิจารณาข้อมูลการจัดตั้งธุรกิจย้อนหลังไป 5 ปี พบว่า ในช่วงครึ่งปีแรกการจัดตั้งธุรกิจจะมีสัดส่วนกว่า 50% แต่ครึ่งปีหลังจะมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นในทุกปี เช่น ในปี 67 มีการจัดตั้งธุรกิจตลอดทั้งปี 87,596 ราย แบ่งเป็นครึ่งปีแรก 46,383 รายสัดส่วนการจัดตั้ง 53% อัตราการเติบโต -1.91% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 66 และครึ่งปีหลังมีการ จัดตั้งธุรกิจ 41,213 รายสัดส่วนการจัดตั้ง 47% อัตราการเติบโต 8.42% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 66
ด้วยเหตุนี้จึงคาดการณ์ว่าครึ่งปีหลังของปีนี้ จะมีจำนวนการจดทะเบียนธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นจากครึ่งปีหลังของปี 67 อยู่ที่ประมาณ 41,000 - 42,000 ราย และตลอดทั้งปีนี้คาดว่าจะมียอดจดทะเบียนรวม 85,000 รายใกล้เคียงกับปี 67 ซึ่งได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการเที่ยวคนละครึ่ง ซึ่งช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในครึ่งปีหลังนี้ ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท ห้องชุด ธุรกิจขนส่งคนโดยสารและสินค้า ธุรกิจขายส่งผลิตภัณฑ์อาหาร และธุรกิจร้านอาหารและภัตตาคาร
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มโดยรวมจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tax) ของสหรัฐฯที่คาดว่าจะประกาศออกมาในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา โดยนางอรมน ย้ำว่า ต้องรอดูรายละเอียดอัตราภาษีที่จะมีผลบังคับจริงก่อน จึงจะสามารถประเมินผลกระทบเชิงลึกได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มสินค้าส่งออกของไทย
ทั้งนี้ ในระยะยาวกระทรวงพาณิชย์จะเน้นยุทธศาสตร์กระจายตลาด ส่งเสริมการหาตลาดใหม่ ลดการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถเชื่อมโยงใน value chain ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นางอรมน ระบุอีกด้วยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะเร่งผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทย โดยขณะนี้มีแฟรนไชส์ภายใต้การกำกับดูแลประมาณ 500 กว่าราย จากทั้งหมดกว่า 600 รายในประเทศ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม บริการ ไปจนถึงธุรกิจการศึกษา
“ผู้ประกอบการหน้าใหม่ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นจากศูนย์ เพราะสามารถเลือกแฟรนไชส์ที่มีระบบบริหารจัดการและมาตรฐานที่ดีได้ทันที และในเดือนสิงหาคมนี้ เราจะพาธุรกิจไทยไปออกงานแฟร์แฟรนไชส์ที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงจัดกิจกรรมแฟรนไชส์โรดโชว์ในภูมิภาคต่างๆ ของไทยอีกด้วย”
พร้อมกันนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ยังร่วมมือกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME D Bank) และธนาคารออมสิน ในออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และผลักดันการใช้เทคโนโลยีเข้าช่วยบริหารจัดการต้นทุน การทำตลาดออนไลน์ และการเชื่อมโยงกับลูกค้าในโลกดิจิทัล เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการ
นอกจากนี้ ความคืบหน้าในการจัดการปัญหาธุรกิจผิดกฎหมาย (นอมินี) พบว่า การดำเนินคดีกับธุรกิจนอมินี ตั้งแต่ 1 กันยายน 67 – 30 มิถุนายน 68 ตรวจพบแล้ว 871 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างคณะกรรมการบริหารจัดการสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน โดยเมื่อมีการประชุมคณะกรรมการชุดใหม่ จะมีการรายงานความคืบหน้ารายกรณี และวางแนวทางจัดการธุรกิจนอมินีอย่างเป็นระบบต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
“สรวงศ์” เผย เหตุไทย-กัมพูชา ทำนักท่องเที่ยวยกเลิกเดินทาง 8,000 คน
"พงศ์กวิน" ผุดมาตรการเร่งด่วน ช่วยแรงงานได้รับผลกระทบชายแดนไทย - กัมพูชา
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ธุรกิจไทยในกัมพูชาไม่ได้รับผลกระทบ ยังดำเนินกิจการได้
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
- Website : https://www.pptvhd36.com