เปิดช่อง กู้เสริมสภาพคล่องปิดหีบคลัง หากรายได้หลุดเป้าเยอะ
รายงานจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 68 กระทรวงการคลังได้เผชิญความเสี่ยงในการจัดเก็บรายได้ และการปิดหีบงบประมาณให้ได้ตามเป้าหมาย โดยปี 68 รัฐบาลได้กำหนดงบประมาณรายจ่ายที่ 3.75 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าหมายการจัดเก็บรายได้ที่ 2.88 ล้านล้านบาท ส่วนที่เหลือมีการตั้งงบประมาณแบบขาดดุล เพื่อกู้ชดเชยขาดดุล 865,700 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สามารถปิดหีบได้ลง หรือทำงบประมาณรายรับพอดีกับรายจ่าย ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติในทุกๆ ปี
อย่าไรก็ตาม ในปี 68 ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าทำได้ต่ำกว่า ประกอบกับมาตรการส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้การเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์ต่ำกว่าเป้าหมาย ส่งผลให้ปีนี้คาดว่าการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลทั้งปีที่ตั้งไว้จะน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ผลจัดเก็บรายได้ล่าสุดช่วง 9 เดือน ปีงบประมาณ 68 (ต.ค. 67–มิ.ย.68) คลังเก็บรายได้แล้ว 2.04 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 30,314 ล้านบาท หรือ 1.5% โดยที่น่ากังวลคือ 3 กรมภาษี เก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งหมด โดยกรมสรรพากรเก็บได้ 1.67 ล้านล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 12,628 ล้านบาท กรมสรรพสามิต 400,487 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 48,884 ล้านบาท และกรมศุลกากร 85,318 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 6,482 ล้านบาท
ที่สำคัญน่าจับตาว่าในช่วง 3 เดือนสุดท้าย ช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.68 ตัวเลขจัดเก็บรายได้อาจหลุดเป้ามากกว่าเดิม เนื่องจากเศรษฐกิจไทย และการส่งออกมีแนวโน้มเติบโตลดลงจากผลกระทบภาษีทรัมป์ 19% น้ำท่วมภาคเหนือ ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา จนมีความกังวลว่าอาจกระทบทำให้ปิดหีบงบประมาณปี 68 ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการคลัง เตรียมหาแนวทางรองรับไว้แล้วและมั่นใจว่าจะปิดหีบทำงบรายรับและรายจ่ายให้สมดุลได้ทันภายใน 30 ก.ย.68 โดยแนวทางแรกคลังประเมินว่า แม้รายได้จะไม่เข้าเป้าหมาย แต่มองว่างบรายจ่ายจะน้อยกว่าเป้าหมายเช่นกัน โดยเฉพาะยอดการก่อหนี้ทั้งในส่วนงบประจำ และงบลงทุน โดยล่าสุดถึงเดือนส.ค.งบลงทุนเพิ่งก่อหนี้ไปได้ 78% น้อยกว่าเป้า ณ สิ้นเดือนส.ค.ที่ตั้งไว้ 92% ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณภาพรวมเพิ่งก่อหนี้ไป 83% น้อยกว่าเป้าที่ 93%
ดังนั้น ท้ายสุดจะต้องนำงบทั้ง 2 ส่วน มากหักลบกลบกัน หากกรณีหักลบกันแล้ว ทั้งยอดรายรับสุทธิ ยอดการก่อหนี้และการกู้ชดเชย ผลออกมาตัวเลขยังคงติดลบ รัฐบาลก็จะมีเครื่องมือเข้ามาช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยการเร่งรัดให้หน่วยงาน นำส่งรายได้เข้ารัฐบาลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ และส่วนราชการอื่นอย่างกรมธนารักษ์ องค์กรอิสระ
ต่อมา คือ การกู้เงิน ซึ่งกฎหมายเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถกู้เพื่อชดเชยรายจ่ายสูงกว่ารายได้ ตามเพดานกู้ชดเชยขาดดุลที่เหลืออยู่ แต่ปีนี้เพดานเหลือเพียง 6,900 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่มาก และหากไม่เพียงพอต่อการปิดหีบ หากรายได้หลุดเป้าไปมากๆ ทำให้รัฐอาจเลือกวิธีต่อมา คือ การกู้เพื่อบริหารสภาพคล่องของเงินคงคลัง ตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ โดยมีเงื่อนไขคือ กู้ได้ไม่เกิน 3% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปีนั้น ซึ่ง 3% ของงบปัจจุบัน 3.75 ล้านล้านบาท จะเท่ากับเป็นเงินกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งวิธีนี้ประเทศไทยไม่เคยทำมาก่อน เพราะไม่เคยประสบปัญหาขาดดุลรุนแรง แต่ข้อเสียก็คืออาจทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะสูงขึ้นไปด้วย อีกทั้งรัฐบาลต้องมีการตั้งงบขึ้นมาจ่ายในปีถัดไปทันที