BIZ: คนอเมริกันบ่น กาแฟแพงกว่าล็อบสเตอร์ ว่าแต่มันแพงกว่าจริงๆ หรือแค่คิดกันไปเอง
พลันเมื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ดำเนินการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ คนอเมริกันก็เริ่มบ่นอุบถึงราคาค่าใช้จ่ายที่เพิ่มตามมาเป็นเงา ก่อพายุความกังวลลูกใหญ่ให้กับผู้บริโภคกันเป็นว่าเล่น
หนึ่งในรายการที่มีข่าวออกมาเป็นระยะอย่างกาแฟ ก็เริ่มมีเสียงบ่นตามมามากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่ล่าสุด มีรายงานข่าวว่า “ราคากาแฟตอนนี้แพงกว่าล็อบสเตอร์ไปแล้ว”
เรื่องนี้รายงานโดยสื่อท้องถิ่นของเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน หนึ่งในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟลำดับต้นๆ ของอเมริกา และเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นเมืองที่มีกาแฟมากที่สุดเป็นอันดับ 4 ของประเทศ เพราะมีทั้งกาแฟที่หลากหลาย ร้านรวงมากมาย คุณภาพกาแฟได้รับการการันตีว่าดีจริง โดยเฉพาะสินค้าในระดับไฮเอนด์
ข้อมูลจากสื่อรายงานว่า เมล็ดกาแฟคั่วท้องถิ่นระดับไฮเอนด์จำนวนมาก กลับมีราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในร้านขายของชำและร้านกาแฟทั่วพอร์ตแลนด์ ราคาขึ้นทั้งที่ขายแบบแก้วหรือแบบขายเมล็ดที่คั่วแล้ว และผลกระทบที่ว่ายังสะเทือนไปถึงค่าใช้จ่ายวัสดุที่เกี่ยวข้องอย่างถุงใส่กาแฟที่ปกติแล้วนำเข้าจากต่างประเทศเช่นกัน
โดยในมุมของผู้บริโภคตอนนี้ก็เริ่มหันมาวางแผนรับมือกับสถานการณ์กันบ้างแล้ว ในรายงานอ้างถึงบทสัมภาษณ์นักดื่มว่า ตอนนี้เริ่มรื้อเครื่องชงกาแฟในห้องเก็บของออกมาใช้ หรือบางคนถึงขั้นปรับลดปริมาณการดื่มหรือไม่ก็อาจหันไปดื่มชาแทน
อย่างไรก็ตามในภาพรวมใหญ่นั้น มีรายงานว่าในเดือนสิงหาคม ราคากาแฟในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้า 30 เปอร์เซ็นต์ จากราคาตลาดที่เคยสั่งกัน 2.80 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ขยับขึ้นมาเป็น 3.74 ดอลลาร์ต่อปอนด์ แทน
แต่สำหรับสถานการณ์ในพอร์ตแลนด์มีความซับซ้อนกว่านั้นหน่อย อย่างที่กล่าวไปว่าเป็นเมืองขึ้นชื่อลือชาเรื่องกาแฟ ไม่ใช่เพราะคนชอบดื่มกาแฟมากกว่าที่ไหนๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากเรื่องคุณภาพ การคัดสรรสินค้าดี เกรดพรีเมียม แถมโรงคั่วหลายๆ แห่งยังให้ความสำคัญกับเรื่องจริยธรรม ที่กดขี่ราคาจากผู้ผลิต จึงทำให้ราคากาแฟบางตัวมีราคาสูงเป็นทุนเดิม แต่ก็เป็นส่วนต่างที่คนเมืองนี้ยอมจ่ายเพื่อของดีๆ นั่นจึงทำให้ราคาเกรดพิเศษบางตัวราคาพุ่งสูงกว่า 35-40 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ขณะที่ราคาล็อบสเตอร์ในสหรัฐอเมริกาปีนี้ขายกันอยู่ที่ 12.12-48.09 ดอลลาร์ต่อปอนด์ ขึ้นอยู่กับขนาดและประเภทของล็อบสเตอร์
หากวัดกันด้วยราคาปอนด์ต่อปอนด์ก็ถือว่าสูสีคู่คี่กันไม่น้อย ระหว่างกาแฟเกรดดีๆ กับล็อบสเตอร์ตัวใหญ่ โดยราคาล็อบสเตอร์ที่กล่าวถึง ก็เป็นราคาที่ได้รับผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ที่บวก 25 เปอร์เซ็นต์ ต่อสินค้านำเข้าจากแคนาดา ซึ่งเป็นผู้ส่งออกล็อบสเตอร์รายใหญ่แก่สหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ต่อการเปรียบเทียบระหว่างกาแฟกับล็อบสเตอร์ ยังมีความเห็นค้านว่ามันไม่ค่อยแฟร์สักเท่าไหร่ เพราะคนเรากินล็อบสเตอร์กันมื้อหนึ่งในราคา 40 ดอลลาร์ แต่หากซื้อกาแฟในราคาเดียวกันต่อถุงเอามาชงเฉลี่ยแล้วได้หลายแก้ว โดยรวมแล้วต่อให้จ่ายเท่ากับราคาล็อบสเตอร์หรือจ่ายมากกว่าสักหน่อย มันก็ยังดื่มได้หลายมื้อไม่ใช่หมดไปในคราวเดียว
รวมถึงความที่คนพอร์ตแลนด์ชอบดื่มกาแฟเอามากๆ มันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหาก คำนวณรายจ่ายประจำเดือนออกมาแล้วพบว่า รายจ่ายที่ลงไปกับกาแฟสูงกว่าล็อบสเตอร์ที่อาจกินกันเพียงเดือนละครั้ง มันก็อาจพานคิดได้ว่าตอนนี้กาแฟแพงกว่าล็อบสเตอร์แล้วจริงๆ
ยังรวมถึงที่ว่าบางคนอาจทุ่มไปกับกาแฟตัวท็อปแต่กับล็อบสเตอร์เลือกที่จะกินตัวเล็ก ก็จะเห็นช่องว่างของราคาที่ต่างกันจริง แต่มันก็เป็นแค่เรื่องของความรู้สึกที่รักที่ชัง คงยากเอามาเปรียบ
แต่… เรื่องนี้ก็ยังไม่มีตอนจบที่แน่ชัด เนื่องจากสถานการณ์ราคากาแฟยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน นอกจากภาษีที่เคาะเป็นตัวเลขได้อย่างชัดเจนแล้วว่าต้องบวกราคาเท่าไหร่ถึงจะคุ้ม ยังมีประเด็นเรื่องภัยแล้งที่หลายประเทศผู้ส่งออกกำลังเผชิญปัญหาทำให้ผลผลิตลดต่ำลงทุกปี
ไม่แน่ว่า ในอนาคตอันไม่ไกล การเทียบราคาระหว่างล็อบสเตอร์กับกาแฟอาจกลับมาเป็นสกู๊ปชิ้นใหม่อีกครั้งก็เป็นได้