SOCIETY: ‘จำกัดความเร็ว’ และ ‘คิดค่าปรับตามรายได้’ ทำให้เฮลซิงกิ เมืองหลวงฟินแลนด์ ไม่มีใครเสียชีวิตจาก ‘รถชน’ มาเป็นเวลาเกิน 1 ปีแล้ว!
สำหรับประเทศไทย อุบัติเหตุบนท้องถนนดูจะเป็น ‘วิถีชีวิต’ (ที่ไม่ได้เลือก) ของเรา ภัยมาได้จากทุกทิศทุกทาง ทั้งคนเมาแล้วขับ รถวิ่งสวนเลนส์ หลุมบ่อบนถนน หรือกระทั่งเป็นท่อนเหล็กหล่นมาจากด้านบน ไม่มีใครอยากให้เกิดสิ่งเหล่านี้ แต่เรื่องน่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ เราคงชินกับมันไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าเราจะเรียนรู้ ‘ความสำเร็จ’ จากประเทศอื่นไม่ได้ และที่เราอยากจะเล่า คือเรื่องราวของกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ที่เพิ่งฉลองความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ไม่มีใครเสียชีวิตบนท้องถนนเลยแม้แต่คนเดียว
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เมืองแรกที่ทำได้ แต่นับเป็นเมืองล่าสุด และที่น่าสนใจคือเขามีความพยายามหลายๆ อย่างที่จะลดอัตราการตายบนท้องถนน ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา และสิ่งนี้เราเรียนรู้จากบ้านเขาได้
โดยเขาเริ่มจากระบุจุดที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยๆ ก่อน ทั้งใช้ข้อมูลของรัฐ และให้ประชาชนรายงานเข้ามา เพื่อเขาจะปรับปรุงจุดเหล่านี้ บางจุดก็ห้ามรถวิ่งผ่านเลย บางจุดเพิ่มสัญญาณไฟจราจร และติดเซนเซอร์ตรวจจับความเร็ว
และอาวุธที่สำคัญสุดคือ เขา ‘จำกัดความเร็ว’ ในถนนเส้นที่อันตรายให้เหลือ 30-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และบังคับใช้ได้จริงๆ
แม้ว่าการติดเซนเซอร์เป็นการใช้เทคโนโลยีช่วยตรวจจับที่ได้ผล แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือกฎหมายเรื่อง ‘ค่าปรับ’
ฟินแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้ระบบที่เรียกว่า Day-Fine แปลง่ายๆ ว่า ‘ปรับตามรายได้’ โดยคำนี้ไอเดียคือ จะต้องจ่ายค่าปรับเป็น ‘จำนวนรายได้หนึ่งวันเต็ม’ ของตัวเอง โดยจะปรับเป็นรายได้กี่วันก็ขึ้นอยู่กับความหนักของโทษ แต่รวมๆ เนื่องจากคิดค่าปรับเป็น ‘รายได้ต่อวัน’ เลยทำให้คนที่มีระดับรายได้ต่างกันโดนค่าปรับต่างกัน ทั้งนี้ถ้ายังจำกันได้ในปี 2023 มีเศรษฐีฟินแลนด์คนหนึ่งโดนค่าปรับเพราะขับรถเร็วเกินกำหนดไปถึงกว่า 4 ล้านบาท มันคือระบบเดียวกันนี่เอง
เนื่องจากฟินแลนด์ใช้ระบบปรับตามสัดส่วนรายได้ และมีระบบตรวจจับที่เข้มงวดชนิดไม่มีทางรอดง่ายๆ จึงทำให้คนไม่กล้าขับรถเร็วเกินกว่าที่รัฐกำหนด และทำให้การจำกัดความเร็วบนถนนเส้นที่เกิดอุบัติเหตุบ่อยได้ผลจริง
นี่คือ ‘ความลับ’ ของฟินแลนด์ในการลดอุบัติเหตุทางถนน แน่นอนว่าเราอาจพยายามพูดถึงเรื่องคุณภาพการศึกษาของประเทศนี้ ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่ต่ำ ไปจนถึงการที่ประชากรของเขาไม่หนาแน่น ว่าทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานในการช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนระดับเสียชีวิตจนเป็น 0 ก็ได้ แต่ความเป็นจริงคือ ถึงจะมีทั้งหมดที่ว่ามา เขาก็ยังต้องมีมาตรการในการระบุพื้นที่อันตราย ทำการปรับปรุงพื้นที่และระเบียบในการกำหนดความเร็ว รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดด้วย
ทั้งหมดนี้เราเรียนรู้ได้ และแม้ว่าในสังคมไทย เราจะหาข้อตกลงร่วมกันในหลายเรื่องไม่ได้ แต่เรื่องพื้นฐานอย่างการไม่ต้องการให้ใครต้องมาเสียชีวิตบนท้องถนน ทั้งสังคมก็น่าจะเห็นร่วมกันได้อยู่ และนี่ก็ควรจะเป็นโอกาสทางนโยบายที่ดีของพรรคการเมืองใดก็ตามที่ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชนในวงกว้าง