การสักยันต์ เครื่องรางที่ไม่ต้องพกพา เพราะใช้ร่างกายในการ “สัก”
การสักยันต์ เป็นความเชื่อที่ผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ที่มีพัฒนาการลงตัวทั้งรูปแบบ, วิธี, คติความเชื่อ ฯลฯ ที่มีอานุภาพในด้านต่างๆ ตามความคาดหวังของผู้ที่มารับการสักแต่ละคน ซึ่งแตกต่างกันไป
การสักยันต์
การสักยันต์ในไทยมีขึ้นเมื่อไรไม่แน่ชัด แต่ทุกภาคมีคติความเชื่อเรื่องการสักคล้ายๆ กัน คือ ใช้ร่างกาย เช่น ผิวหนังส่วนต่างๆ, ศีรษะ, ลิ้น ฯลฯ เป็นพื้นที่สำหรับสักอักขระ, ตัวเลข, ภาพ ตามแบบของยันต์แต่ละชนิด
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ให้ความหมายคำดังกล่าวไว้ดังนี้ “สัก” คือ “ใช้เหล็กแหลมจุ้มหมึกหรือนํ้ามันแทงที่ผิวหนังให้เป็นอักขระเครื่องหมาย หรือลวดลาย” ส่วน “ยันต์” คือ “ตารางหรือลายเส้นเป็นตัวเลข อักขระหรือรูปภาพที่เขียน สัก หรือแกะสลักลงบนแผ่นผ้า ผิวหนัง ไม้ โลหะ”
การสักมี 2 รูปแบบ คือ 1. สักด้วยน้ำมัน เช่น น้ำมันจันทร์, น้ำมันงาขาว ฯลฯ รวมกับสิ่งที่เชื่อว่าเป็นมงคล, มีฤทธิ์ (ว่าน, น้ำมันเสือโคร่ง ฯลฯ) การสักน้ำมันหลังจากตกสะเก็ดมักจะไม่ทิ้งร่องรอยให้ผู้อื่นรู้ 2. สักด้วยหมึก ใช้หมึกจีนผสมน้ำพระพุทธมนต์ บางครั้งนำดีหมี, ดีเสือ หรือ ดีงูเห่ามาผสมด้วย การสักวิธีนี้จะเห็นลายสักหมึกติดร่างกายของผู้ถูกสัก
แต่ไม่ว่าแบบใด เวลาสักมักจะมีการบริกรรมคาถาด้วย
“ผู้สักยันต์” มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาส แต่ถ้าผู้สักมีศีลสมาธิบริสุทธิ์ จะทำให้ยันต์มีอานุภาพสูง ดังนั้นนอกจากความรู้เรื่องยันต์ที่รับถ่ายทอดจากครูบาอาจารย์แล้ว ผู้สักยังต้องรักษาศีล 5 อย่างเคร่งครัด ต้องฝึกฝนสมาธิ อาจารย์ในอดีตที่มีชื่อด้านนี้ ได้แก่ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท, หลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ จังหวัดนครปฐม เป็นต้น
ลวดลายในยันต์
ยันต์จะมีลวดลาย และชื่อเรียกแตกต่างกันไป แต่จะประกอบด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ อักขระ, ตัวเลข และภาพ
“อักขระ” ที่ใช้ในการสักส่วนใหญ่เป็น “อักษรขอม” โดยเขียนในลักษณะตัวย่อของคาถาแต่ละบท เพราะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ตัวอย่างอักขระที่พบมากในยันต์ไทย คือ “นะ มะ พะ ทะ” หรือที่เรียกว่า “หัวใจธาตุ” ย่อจากบทนมัสการพระพุทธเจ้าที่ว่า “นะ โม พุท ธา ยะ” (แต่เว้น ยะ) ใช้สื่อถึงธาตุทั้งสี่ (ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ) ดังนี้
นะ ใช้แทน อาโปธาตุ (ธาตุน้ำ) ถอดออกเป็น นะ, โม ใช้แทน ปถวีธาตุ (ธาตุดิน) ถอดออกเป็น มะ, พุท ใช้แทน เตโชธาตุ (ธาตุไฟ) ถอดออกเป็น พะ, ธา ใช้แทน วาโยธาตุ (ธาตุลม) ถอดออกเป็น ธะ ธาตุทั้งสี่เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาแสดงเพื่อให้เข้าถึงความจริงในสรรพสิ่ง เช่น ร่างกายมนุษย์เกิดจากการประชุมของธาตุทั้งสี่
“ตัวเลข” มักใช้เลขไทย แต่เป็นการใช้สัญลักษณ์แทนอักขระอีกทอดหนึ่ง ข้อสรุปเกี่ยวกับตัวเลขส่วนใหญ่สรุปตรงกัน เช่น เลข ๓ ใช้แทน พระรัตนตรัย, เลข ๖ ใช้แทน สวรรค์ชั้นกามาพจร, เลข ๗ ใช้แทน โพชฌงค์ ๗, เลข ๙ ใช้แทน พุทธคุณ ๙ ฯลฯ
สำหรับ “ภาพ” นั้นจะขึ้นอยู่กับประเภทของยันต์ และผู้สักแต่ละสำนัก
ความนิยมของยันต์ในอดีต เห็นได้จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนหนึ่งที่กล่าวถึง แสนตรีเพชรกล้า-แม่ทัพฝ่ายเชียงใหม่ ว่า
อันแม่ทัพคนนี้มีศักดา อยู่คงศาสตราวิชาดี
แขนขวาสักรงเป็นองค์นารายณ์ แขนซ้ายสักชาดราชสีห์
ขาขวาหมึกสักพยัคฆี ขาซ้ายสักหมีมีกำลัง
สักอุระรูปพระโมคคลา ภควัมปิดตานั้นสักหลัง
สีข้างสักอักขระนะจังงัง ศีรษะฝังพลอยนิลเม็ดจินดา
ส่วนความนิยมในปัจจุบัน “ยันต์” เป็นที่สนใจในระดับโลก แม้แต่นักแสดงชาวตะวันตกอย่าง แองเจลินา โจลี, สตีเวน ซีกัล, บรูก ชีลด์ส ฯลฯ ก็สักยันต์ไว้บนร่างกายของพวกเขา
คลิกอ่านเพิ่ม :
- ต้นกำเนิด “พระเครื่อง” เมื่อคนเดือดร้อนไม่มั่นคง และวิทยาศาสตร์ให้คำตอบไม่ได้
- ทำไมคนไทยสมัยก่อนไม่เอา “พระพุทธรูป” เข้าบ้าน ไม่ใส่ “พระเครื่อง” ที่ตัว ?
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
อ้างอิง
กฤษฎา พรหมเวค, ปรัชญา ชุ่มนาเสียว. “การสักยันต์ในฐานะซอฟต์พาวเวอร์ของไทย” ใน, วารสารรามคำแหง ฉบับมนุษยศาสตร์ ปีที่ 43 ฉบับที่ 1 : มกราคม-มิถุนายน 2567.
ธีชโชติ เกิดแก้ว. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาที่ปรากฏในยันต์ไทย” ใน, วารสารพุทธศาสนศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปีที่ 19 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม-สิงหาคม 2555.
พูนทรัพย์ โพธิ์พันธุ์. การศึกษาเรื่องการสักของคนไทยสมัยอยุธยาถึงสมัยรัชากลที่ 5 (พ.ศ. 1893-2453), สารนิพนธ์หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พฤษภาคม 2549.
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 8 สิงหาคม 2568.
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : การสักยันต์ เครื่องรางที่ไม่ต้องพกพา เพราะใช้ร่างกายในการ “สัก”
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com