MEDICAL FAIR THAILAND 2025 เปิดยุทธศาสตร์ไทย สู่ฮับนวัตกรรมการแพทย์
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ NIA กล่าวว่า NIA และ สวทช.ร่วมกับ “เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟฯ” จัดงานใหญ่ MEDICAL FAIR THAILAND 2025 รวม 1,000 นวัตกรรมแพทย์ ดันไทยสู่ฮับการแพทย์ของภูมิภาค ระหว่างวันที่ 10-12 กันยายน 2568 ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา นับเป็นงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติที่สำคัญ
ตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ "ประตูยุทธศาสตร์สู่ภูมิภาคอาเซียน" และ "ฮับแพทย์ของภูมิภาค" NIA ในฐานะผู้กำหนดทิศทางนวัตตกรรม ได้มุ่งขับเคลื่อนนวัตกรรมที่สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ Impact Tech โดยเฉพาะ Deep Tech ด้านการแพทย์
เช่น AI Diagnostics, Genomics, Medical Robotics, และ Advanced Biomaterials ที่มีอัตราการเติบโตสูงทั่วโลก ซึ่งมีกลยุทธ์ 4G ในการส่งเสริม Deep Tech ด้านการแพทย์ ดังนี้
- Groom: สร้างย่านนวัตกรรมการแพทย์ (ปัจจุบันมี 4 แห่ง: โยธี, ศิริราช, สวนดอก, กังสดาล)
- Grant: สนับสนุนเงินทุนพัฒนาธุรกิจนวัตกรรมทางการแพทย์
- Growth: โปรแกรมเร่งสร้างการเติบโต 'Spear H' เพื่อขยายผลต่อยอดการลงทุนและออกสู่ตลาดต่างประเทศ
- Global: สร้างแบรนด์นวัตกรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในระดับโลก (เช่น การเข้าร่วมงาน Medica 2024 ที่เยอรมนี)
“นวัตกรรมการแพทย์ขั้นสูง ถือเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์สำคัญที่มีส่วนช่วยทั้งการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับสูง ผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Wellness and Medical Service Hub) จากหลายปัจจัยสำคัญ เช่น การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจ็บป่วยและโรคอุบัติใหม่ ตลอดจนการขยายตัวของตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รองรับผู้ป่วยทั้งในประเทศและจากต่างประเทศ”
ดร.กริชผกา กล่าวว่า นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสให้สตาร์ตอัปและเอสเอ็มอีไทย กลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ มีโอกาสขยายตลาดมากขึ้น สำหรับการสร้างแบรนด์นวัตกรรมไทยกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
โดยมีหัวใจสำคัญคือ การยกระดับขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Tech) ให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านการกำหนดมาตรฐานนวัตกรรมทางการแพทย์ระดับภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของ NIA ที่มุ่งสนับสนุนการพัฒนาและยกระดับผู้ประกอบการด้านเทคโนโลยีการแพทย์ของไทยอย่างครบวงจร
รองศาสตราจารย์ ดร.เติมศักดิ์ ศรีคิรินทร์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า ประเทศไทยพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์จากต่างประเทศสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี เนื่องจาก R&D ต่ำสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนไอเดียหรือบุคลากรที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการสนับสนุนที่ยังไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเต็มที่
“ในอดีต สวทช. จึงเน้นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเชิงลึก (Upstream R&D) เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเครื่องมือแพทย์ ซึ่งมีฐานข้อมูลองค์ความรู้และผลงานวิจัยกว่า 700 เรื่องและพร้อมถ่ายทอดสู่ภาคเอกชน เช่น M-Bone วัสดุทดแทนกระดูกสำหรับปลูกถ่ายในร่างกายมนุษย์ สามารถทดแทนกระดูกชนิดแรกของประเทศไทยที่ได้มาตรฐานสากลได้ สามารถช่วยลดการนำเข้าได้มากกว่าร้อยล้านบาทต่อปี”
ประเทศไทยยังคงพึ่งพาการนำเข้าอุปกรณ์ทางการแพทย์และเทคโนโลยีจากต่างประเทศในมูลค่าสูงถึง 6 หมื่นล้านบาทต่อปี สาเหตุสำคัญในอดีตคือการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอัตราต่ำสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนไอเดียหรือบุคลากรที่มีความสามารถเพียงอย่างเดียว แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับนโยบายการสนับสนุนที่ยังไม่เอื้อต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างเต็มที่
สวทช.ยังส่งเสริมให้ผลงานวิจัยผ่านความร่วมมือกับโรงพยาบาล มหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการนวัตกรรมด้านเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้จริงในระดับประเทศ พร้อมต่อยอดสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ระบบสุขภาพยุคใหม่ โดยเฉพาะในบริบทของสังคมผู้สูงอายุ การแพทย์เฉพาะบุคคล และระบบสุขภาพเชิงป้องกัน รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่สอดรับกับเทรนด์ใหม่
ด้าน นางสาวซี เลย์ อิง Deputy Portfolio Director MEDICARE ASIA บริษัทเมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย กล่าวว่า จากข้อมูลเชิงลึกของตลาดในภูมิภาคและแนวโน้มการเติบโตของภาคอุตสาหกรรม พบว่า ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทางด้านนวัตกรรมการแพทย์ซึ่งเกิดจากแรงขับเคลื่อนของการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตของอุตสาหกรรมภายในประเทศ และความร่วมมือระหว่างประเทศที่เพิ่มมากขึ้น
จากความโดดเด่นทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบสาธารณสุขที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ รวมถึงนโยบายจากภาครัฐและภาคเอกชน ที่เปิดกว้างต่อการลงทุนในเทคโนโลยีสุขภาพ ซึ่งถือเป็นรากฐานที่เข้มแข็งต่อการขยายตัวทั้งในเชิงเทคโนโลยี นวัตกรรมและบริการสุขภาพระดับนานาชาติ
โดย เมสเซ่ ดุสเซลดอร์ฟ เอเชีย ได้ประเมินโอกาสทางด้านการแพทย์ของไทยซึ่งพบอานิสงส์และดีมานด์สำคัญ คือ การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ที่มีประเทศไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์เป็นผู้ให้บริการชั้นนำ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวทางการแพทย์ด้วยได้ ซึ่งในปี 2567 ตลาดการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ของไทยมีมูลค่า 433.81 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 และคาดการณ์ว่าจะเติบโตด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) 15.24% ไปถึง 1,349.10 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2575
ถัดมาอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องมือแพทย์ของไทย คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 7% ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวถึง 7.5% ต่อปี รวมทั้งการแพทย์เพื่อรองรับประชากรสูงอายุที่เพิ่มขึ้น และไม่เพียงเฉพาะในประเทศไทย แต่ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ที่รวดเร็วที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยประชากรสูงอายุเพิ่มอย่างเป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ
ดังนั้น การจัดงาน MEDICAL FAIR THAILAND 2025 ซึ่งจะมีผู้แสดงสินค้าเข้าร่วมมากกว่า 1,000 ราย จากกว่า 40 ประเทศทั่วโลก รวมทั้ง 20 พาวิลเลียนไทยและนานาชาติครอบคลุมเทคโนโลยีและโซลูชันในหลายสาขา นอกจากนี้ยังจะจัดร่วมกับงาน GITEX Digi Health และ
Biotech Thailand เป็นครั้งแรก โดยทั้งสองงานได้รับแรงบันดาลใจจาก GITEX GLOBAL หนึ่งในมหกรรมแสดงเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพในการนำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัยและนวัตกรรมด้านสุขภาพในระดับสากล