โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

ไทยจำเป็นต้องปฏิรูปการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

THE STANDARD

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 3 ชั่วโมงที่ผ่านมา • thestandard.co
ไทยจำเป็นต้องปฏิรูปการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม

การอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมประเภทสิ่งปลูกสร้างของไทยกำลังเผชิญกับวิกฤตเงียบในระดับชาติ แม้จะมีความพยายามจากท้องถิ่นและมีกฎหมายบางฉบับที่นำไปใช้ได้ แต่ความคุ้มครองจากสิ่งเหล่านี้ยังไม่ครอบคลุมไปทุกกรณี ทำให้อาคารทรงคุณค่าเหล่านี้ทยอยสูญหาย อาคารเก่าที่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาคารที่อยู่ในความครอบครองของเอกชน มักไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติโบราณสถานซึ่งล้าสมัย

ผลก็คือ สถานที่ที่มีคุณค่ามักถูกทุบทิ้งหรือดัดแปลงจนเสียหาย เรารื้อโรงภาพยนตร์เก่าซึ่งสะท้อนรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของไทย เราพัฒนาย่านตึกแถวดั้งเดิมให้กลายเป็นศูนย์การค้าใหม่ที่ตัดขาดจากวิถีชีวิตท้องถิ่น สัปดาห์แล้วสัปดาห์เล่า เราสูญเสียอาคารที่สามารถเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ความมั่งคั่ง และเอกลักษณ์ความเป็นไทยของเรา

อาคารประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าสงขลา แสดงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่ต้องการการอนุรักษ์

ภาพอาคารประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าสงขลา

(ภาพ: ดร.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ)

ปรับโครงสร้างกฎหมาย

เราสามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ สิ่งที่จำเป็นคือการปฏิรูปเชิงโครงสร้างทั้งด้านกฎหมายและการบริหารจัดการมรดก เราควรจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจเพื่อดูแลมรดก พร้อมงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอ อำนาจด้านการอนุรักษ์ควรถูกกระจายให้แต่ละจังหวัดมีบทบาทอย่างแท้จริง และควรสร้าง “ระบบนิเวศ” ที่เกื้อหนุนการอนุรักษ์มรดก เช่น การเผยแพร่ความรู้สู่สาธารณะ และเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมหลากหลายระดับ

เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องมีกฎหมายหลักฉบับใหม่ที่มุ่งคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้โดยเฉพาะ ซึ่งแยกออกจากพระราชบัญญัติโบราณสถานเดิมที่มีอายุกว่า 60 ปี มีตัวอย่างกฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่ประสบความสำเร็จของหลายประเทศที่สามารถนำมาปรับใช้กับบริบทไทยได้อย่างเหมาะสม กฎหมายฉบับใหม่นี้จะเปิดทางให้เกิดกฎหมายลูกและกลไกการบังคับใช้ที่เข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้เรารักษาทรัพยากรทางมรดกอันประเมินค่ามิได้เหล่านี้ไว้ได้อย่างแท้จริง

กฎหมายนี้ควรระบุประเภทของมรดกอย่างชัดเจน โดยให้ความคุ้มครองทั้งโบราณสถานแห่งชาติและสถานที่ที่มีคุณค่าระดับท้องถิ่น พร้อมกำหนดหลักเกณฑ์การจัดการอย่างเป็นมาตรฐาน และต้องกำหนดให้มีการใช้ข้อมูล เช่น แผนที่มรดกทางวัฒนธรรมและผังแม่บท เพื่อสร้างมาตรฐานการคุ้มครองที่ชัดเจนและนำไปปฏิบัติได้จริง ข้อกำหนดลักษณะนี้พบได้ทั่วไปในกฎหมายด้านการจัดการมรดกที่มีประสิทธิภาพในต่างประเทศ

มองภาพรวม

น่าแปลกที่คนไทยภาคภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเอง แต่กลับรู้สึกสิ้นหวังเมื่อพูดถึงการปกป้องมัน หนึ่งในสาเหตุอาจเป็นเพราะนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมรดกมักจดจ่ออยู่กับเรื่องแคบ ๆ เช่น โครงการวิจัยเฉพาะจุด สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง หรืออาคารประเภทใดประเภทหนึ่ง เราจำเป็นต้องมองเห็นภาพรวม

นั่นคือสิ่งที่ข้าพเจ้าตั้งใจทำใน พ.ศ. 2564 ในฐานะบุคลากรของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าได้ศึกษาวิจัยเป็นเวลา 15 เดือน เพื่อทำความเข้าใจว่าทำไมมรดกที่เป็นสิ่งปลูกสร้างของเราทั่วประเทศจึงอยู่ในสภาวะเสื่อมถอยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าปัญหานั้นรุนแรงและแทรกซึมจนกลายเป็นสิ่งปกติของสังคม แต่หากเราระดมความพยายามในระดับชาติอย่างจริงจัง ปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ และจะช่วยสร้างอนาคตที่ดีขึ้นให้กับประเทศไทย

ภาพอาคารประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าสงขลา

(ภาพ: ดร.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ)

กฎหมายที่กระจัดกระจาย ไม่ครอบคลุม

เนื่องจากประเทศไทยไม่มีกรอบกฎหมายเฉพาะที่ครอบคลุมทุกรูปแบบของมรดก เจ้าหน้าที่จึงต้องพยายามปรับใช้ กฎหมายที่มีอยู่ในการปกป้องมรดกทางสถาปัตยกรรม ซึ่งกฎหมายเหล่านี้มักใช้ได้ผลเฉพาะกับคุณสมบัติบางอย่าง หรือบางพื้นที่ หรือประเภทมรดก เช่น พระราชบัญญัติควบคุมอาคารเน้นควบคุมลักษณะอาคาร ความหนาแน่น และการใช้ที่ดิน ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์เมืองเก่าถูกใช้ในการจัดทำผังแม่บทเพื่อควบคุมการใช้พื้นที่และอาคารสำคัญ ส่วนพระราชบัญญัติผังเมืองใช้กำหนดเขตที่ควรอนุรักษ์ไว้

แม้จะดูดีในเชิงทฤษฎี แต่เมื่อถึงเวลาคุ้มครองอาคารที่เป็นมรดกจริง ๆ กฎหมายเหล่านี้กลับไม่เพียงพอ เพราะแต่ละฉบับมีอำนาจจำกัด และหน่วยงานที่รับผิดชอบก็ดำเนินงานภายใต้กรอบแคบเฉพาะด้าน ซึ่งไม่เพียงพอต่อความจำเป็นจริง

ภาพอาคารประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าสงขลา

(ภาพ: ดร.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ)

ยกตัวอย่าง พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร ซึ่งอาจดูเหมือนจะช่วยอนุรักษ์มรดกเอกชนได้ ในหลายพื้นที่ท้องถิ่นทั่วประเทศ มีความพยายามร่างเทศบัญญัติภายใต้กฎหมายฉบับนี้ แต่กฎหมายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยของอาคาร ไม่ใช่เพื่ออนุรักษ์มรดก จึงมักก่อให้เกิดความเสียหายโดยไม่ตั้งใจ เช่น การรื้อถอนองค์ประกอบดั้งเดิมของอาคาร และการเสื่อมโทรมของย่านประวัติศาสตร์

สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เทศบัญญัติภายใต้กฎหมายฉบับนี้มักเน้นเรื่องความปลอดภัย เช่น กำหนดความกว้างของบันไดหรือทางเดิน ซึ่งส่งผลให้องค์ประกอบดั้งเดิมต้องถูกรื้อและแทนที่ ในบางกรณีอาคารเก่าถูกทุบทิ้งทั้งหมดและสร้างใหม่ในขนาดที่กฎหมายอนุญาตไว้สูงสุด

นอกจากนี้ บางพื้นที่มีกฎควบคุมให้ใช้องค์ประกอบอาคารแบบเดียวกัน เช่น สี รูปทรง หรือความสูง เพื่อให้ “เข้ากับเมืองเก่า” แต่หากพื้นที่นั้นมีความหลากหลายทางสถาปัตยกรรม การบังคับใช้วัสดุธรรมชาติหรือหลังคาลาดเอียงเหมือนกัน อาจทำลายความหลากหลายทางประวัติศาสตร์ และทำให้อาคารทั้งหมดดูเหมือนกัน กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดทำให้การออกแบบที่สร้างสรรค์ถูกจำกัด ปัญหาเชิงระบบลักษณะนี้เห็นได้ในเมืองอย่างเชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยา สงขลา และอีกหลายแห่งที่กำลังค่อย ๆ สูญเสียเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของตนไป

ภาพอาคารประวัติศาสตร์ในเมืองเก่าสงขลา

(ภาพ: ดร.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ)

การคุ้มครองอย่างรอบด้าน

ปัญหาเรื่องมรดกไม่สามารถแก้ได้ด้วยการเพิ่มมาตราใหม่ในกฎหมายเก่า และไม่เพียงพอหากเรามุ่งปกป้องเพียงย่านใดย่านหนึ่ง เพราะมรดกของเรากระจายอยู่ทั่วประเทศ เราจำเป็นต้องแก้ที่รากของปัญหาซึ่งมีความเชื่อมโยงกันอย่างสลับซับซ้อน

หากเรามีกฎหมายหลักด้านการอนุรักษ์มรดก และได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างเพียงพอ เราจะสามารถปกป้องและบริหารจัดการอาคารที่มีคุณค่าได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการอนุรักษ์มรดกจะช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และความรู้สึกเชื่อมโยงกับรากเหง้าของชาติ

มรดกคือ Soft Power ของไทย ขอให้เราดูแลมันให้ดี

เกี่ยวกับผู้เขียน: รศ. ดร.วิมลรัตน์ อิสระธรรมนูญ สถาปนิกและอาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

บรรณาธิการ Heritage Matters: ไบรอัน เมอร์เทนส์

Heritage Matters โดย สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นคอลัมน์บทความแสดงความคิดเห็นเพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมทางสถาปัตยกรรม วัฒนธรรม และธรรมชาติ ของไทยและประเทศใกล้เคียง แต่ละฉบับมีผู้เขียนที่แตกต่างกัน ทัศนะและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความเป็นของผู้เขียนบทความนั้น

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก THE STANDARD

5 เดือน พบธุรกิจปิดกิจการ 4.7 พันราย เตือนครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยเจอมรสุม 5 ปัจจัยเสี่ยง

15 นาทีที่แล้ว

นายกฯ เยี่ยมชมการซ้อมแผนเผชิญเหตุตอบโต้ภัยคุกคาม-การก่อวินาศกรรม ขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่ฝึกหนัก

29 นาทีที่แล้ว

ทหารพราน 21 ตรวจยึดกัญชาล็อตใหญ่ 620 กระสอบ ซุกสวนทุเรียน-มะพร้าว จ.บึงกาฬ

59 นาทีที่แล้ว

กทม. ตั้งศูนย์สนับสนุนการจ้างงาน เชื่อมเอกชนเข้าถึงแรงงานคนพิการอย่างมีระบบ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

‘อิน-เอม’ 2 พี่น้องนักเรียนไทย คว้ารางวัลเหรียญทอง จากผลงานวิชาการระดับนานาชาติ ASIACHEM2025

THE STATES TIMES

“เราไม่เคยมองคนไทยเป็นศัตรูเลย” เสียงสะท้อนครอบครัวชาวเขมรในนวนคร จากชีวิตแรงงาน สู่การขับไล่ให้กลับกัมพูชา

The Momentum

โรงไฟฟ้า BLCP ศึกษานวัตกรรมเชื้อเพลิงใช้ แอมโมเนียคาร์บอนต่ำ แห่งแรกอาเซียน

ไทยโพสต์

“ภูมิธรรม” เผยวงถก สมช. ยังคุมเข้มมาตรการชายแดนกัมพูชา

สำนักข่าวไทย Online

ตำรวจคุมเข้ม ‘ม็อบ 28 มิ.ย.’ เฝ้าระวังชุมนุมคู่ขนาน แนะเลี่ยงเส้นทางโดยรอบ

The Bangkok Insight

"ชูวิทย์" มาเอง แหกแผนสมรู้ร่วมคิด "ฮุนเซน" อ่านจบ มีสะเทือน

TNews

‘โรงพยาบาลตราด’ออกแถลงการณ์ 3 ภาษา ยืนยัน ดูแลแม่-ลูกกัมพูชา หลังคลอด

JS100

เส้นทางสู่การ ‘ขจัดมะเร็งปากมดลูก’ ในไทย สำเร็จแค่ไหน ความท้าทายคืออะไร? [Advertorial]

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

SPLASH – Soft Power Forum 2025 เวทีโชว์ซอฟต์พาวเวอร์ไทยที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน 8-11 กรกฎาคมนี้

THE STANDARD

เปิดโจทย์การบ้านจากนายกฯ ถึงทูตไทยทั่วโลก เน้นย้ำเรื่องไหนเป็นพิเศษ?

THE STANDARD

นายกฯ มอบนโยบายทูตไทยทั่วโลก วางทิศทางเชิงรุก ต่อยอดจุดแข็ง-แสวงหาโอกาสผ่านซอฟต์พาวเวอร์

THE STANDARD
ดูเพิ่ม
Loading...