“อิ๊งค์” ไม่ได้ไปต่อ? โบรกฯ ชี้เปลี่ยนนายกฯ เดือน ก.ย.นี้ คาดหนุน SET Index ทะยาน 1,350 จุด
นักวิเคราะห์คาด หุ้นไทยสัญญาณดี กลับตัวจากจุดต่ำสุดด้วยปัจจัยบวกจากผู้ว่าธปท. คนใหม่ที่ พร้อมมองว่าจุดต่อไปของ SET ที่ 1,350 โดยจะได้รับการกระตุ้นจากการอนุมัติงบประมาณปี 69 ในเดือนกันยายน การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และจุดเริ่มนโยบายทางการเงินในทิศทางใหม่ตั้งแต่เดือนตุลาคม
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงมุมมองว่า SET จะฟื้นตัวตามที่ระบุไว้ในบทวิเคราะห์ Siam Senses – “ปัจจัยคลายกังวล” วันที่ 15 กรกฎาคม 2568 และได้ปรับเพิ่ม SET เป้าหมายปี 2568 จาก 1,300 จุด เป็น 1,350 จุด เนื่องจาก
1.อัตราภาษี 19%ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน และต่ำกว่าจีนกับอินเดีย ได้ส่งสัญญาณบวกอย่างมากต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่กำลังเฟื่องฟู ซึ่งถือเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตแบบ S-curve ของประเทศ
2.คาดว่าจะมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี และมีการอนุมัติงบประมาณประจำปี 2026ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน
- ทิศทางนโยบายการเงินใหม่จะไม่ใช่แค่การลดดอกเบี้ยที่เร็วขึ้น แต่จะมีการทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลงตามดอกเบี้นนโยบายมากขึ้น
4.กำไรของบริษัทในตลาดได้กลับมาอยู่ในช่วงของการปรับเพิ่มประมาณการอีกครั้ง 5. Earnings yield gap ที่ 5.2%เทียบกับที่ 1STD ที่ 4.0%ในสภาพแวดล้อมของดอกเบี้ยขาลง บ่งชี้ว่า SET มีโอกาสปรับขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ แม้จะมีสภาพคล่องส่วนเกินในระบบอยู่ แต่ไทยกลับเผชิญกับภาวะการเงินที่ตึงตัวตลอด 3ปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่ล่าช้าเกินไป และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
ปัจจุบันคาดว่าทิศทางนโยบายการเงินใหม่ภายใต้ผู้ว่าการธปท.คนใหม่ นายวิทัย รัตนากร จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วย “ปลดล็อก” SET โดยคาดว่า
1.จะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%อีก 2ครั้ง ในไตรมาส 4/68 และอีกหนึ่งครั้งในไตรมาส 1/69 เหลือ 1.00% 2. การปรับลดดอกเบี้ยจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยธนาคารจะขานรับและปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามไปในระดับที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น และ 3. จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินเพิ่มเติม เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loans) มาตรการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือนแบบเฉพาะเจาะจง และนโยบายอื่นๆ
ขณะที่มองว่าการที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้กับไทยที่อัตรา 19%จากเดิมที่ประกาศไว้ที่ 36%ถือเป็นข่าวดีอย่างมาก เนื่องจาก การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เป็นปัจจัยการเติบโตแบบ S-Curve เพียงหนึ่งเดียวของไทยในขณะนี้จะไม่โดนกระทบมากนัก อัตราภาษีดังกล่าวใกล้เคียงกับประเทศคู่แข่งหลักในอาเซียน แต่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าอินเดียถูกเรียกเก็บที่ 25%และต่ำกว่าจีนซึ่งถูกเรียกเก็บเกือบ 50%จึงไม่เห็นความเสี่ยงในการเปลี่ยนทิศทางของ FDI อีกต่อไป
ทั้งนี้การยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ได้เริ่มเข้าสู่รอบใหม่ตั้งแต่ปี 2565 โดยมีมูลค่ารวมในช่วง 2565-ครึ่งปีแรก 68 ที่ 3.6ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 19%ของ GDP โดยคาดว่า FDI จะเป็นแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจในระยะยาวเชิงโครงสร้าง ผ่านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น การสร้างงานเพิ่มขึ้น และการขยายฐานการส่งออก
ดังนั้นจากปัจจัยบวก ได้แก่ อัตราภาษี 19%, การส่งออกที่แข็งแกร่งกว่าคาด และความคาดหวังต่อนโยบายการเงินใหม่ จึงปรับเพิ่ม GDP ปี 2568-70 เป็น 2.1/2.1/ 2.6% (เดิม 1.9/1.8% ปี 2568-69) ในระยะยาว เมื่อ FDI ไปเป็นทั้งการลงทุนและการส่งออก และคาดว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของ GDP ในปี 2571-73 จะอยู่ที่ 3.0%
สำหรับหุ้น Top Picks ด้เพิ่มระดับ beta ของพอร์ตขึ้นอีก โดยแทนที่ ADVANC ด้วย DELTA ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่มีบทบาทสำคัญด้าน AI และ Data Center ในตลาดหุ้นไทย ตัวอื่นใน Top Picks ของเราคือ AMATA, MTC, SAWAD, COM7, HMPRO, GULF, TRUE, CPALL, และ MOSHI