สหรัฐจับตา ‘โซลาร์เซลล์’ สินค้าสวมสิทธิ คลังเข้มตรวจสินค้าผ่านทาง
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมศุลกากรเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้าสวมสิทธิจากประเทศอื่นที่นำเข้ามาและส่งออก เพื่อให้ไทยและสหรัฐฯ บรรลุข้อตกลงเรื่องการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) หลังจากที่ไทยและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงด้านภาษีนำเข้าที่ 19% เรียบร้อยแล้ว
โดยส่วนของภาษีจะมีการดำเนินการเพื่อนำเรื่องเข้าสภาฯ อีกครั้งหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2568 ได้เห็นชอบในเห็นชอบข้อตกลงร่วมของไทย-สหรัฐฯ เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้เชื่อว่ากระบวรการทางสภาฯ จะไม่มีปัญหา
“การสวมสิทธิเป็นการกระทำผิดที่เราต้องเข้มงวดอยู่แล้ว ซึ่งในครั้งนี้ก็ต้องมีการเข้มงวดให้มากยิ่งขึ้น”
ส่วนข้อตกลงภาษีนำเข้าสหรัฐฯ จะมีผลกระทบต่อรายได้หรือไม่ นายจุลพันธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไม่มองในมิติเดียวเนื่องจากข้อตกลงเรื่องภาษีจะทำให้มีการค้าเพิ่มมากขึ้นด้วย ไม่ใช่แค่ไทยจะเสียเปรียบเรื่องภาษีอย่างเดียว
ด้านนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า หลังจากนี้ไทยจะต้องมีการหารือกับสหรัฐฯ ในเรื่องของการกำหนดสัดส่วนมูลค่าการผลิตในภูมิภาค Regional Value Content: RVC) อีกครั้ง โดยคาดว่าจะต้องมีสัดส่วนประมาณ 50% ซึ่งสัดส่วนนี้เป็นการรวมกับประเทศที่เป็นพันธมิตรของไทยโดยไม่รวมจีนเนื่องจากยังไม่บรรลุเรื่องข้อตกลงทางภาษีกับสหรัฐฯ
นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า แนวทางการกำกับดูแลสินค้าสวมสิทธิ์ หรือสินค้าผ่านทาง (Transshipment) กรมศุลกากรจะมีการเสริมสร้างความเข้มแข็งของกระบวนการมอนิเตอร์และกำกับดูแลให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาปัญหาหลักคือการกำกับดูแลยังไม่เข้มข้นพอ เนื่องจากเน้นการอำนวยความสะดวกเพื่อดึงดูดการลงทุน
นอกจากนี้ นายธีรัชย์ ยังอธิบายว่า โดยทั่วไปแล้วการกำหนดสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) ในการเจรจาการค้ามักจะใช้เกณฑ์ที่ไม่ต่ำกว่า 40% ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่ใช้กันโดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังสามารถรวม Regional Content หรือที่มาจากห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มประเทศอาเซียนนับเป็น Local Content ได้ด้วย
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์เหล่านี้สามารถยืดหยุ่นและขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างประเทศคู่ภาคี โดยถือเป็นหลักการพื้นฐานในการได้รับสิทธิประโยชน์ภายใต้ข้อตกลงการค้า
ในส่วนของข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกา นายธีรัชย์กล่าวว่า ทางสหรัฐได้ส่งรายการสินค้าเฝ้าระวังที่สหรัฐมีความกังวลว่าสินค้าเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงในเรื่อง "การสวมสิทธิ์" ผ่านกรมการค้าต่างประเทศให้ไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบ หน้าที่ของไทยคือการมอนิเตอร์ และทำให้มั่นใจว่าสินค้ากลุ่มดังกล่าวที่ส่งออกจากประเทศไทยไปสหรัฐนั้น ได้รับการผลิตหรือประกอบในไทยจริง และมีสัดส่วนวัตถุดิบภายในประเทศตามที่ตกลงกันไว้
สำหรับหนึ่งในตัวอย่างสินค้าที่ถูกจับตา คือ โซลาร์เซลล์ ซึ่งสหรัฐมองว่าอาจมีการนำเข้าจากจีนแล้วนำมาประกอบในไทยเพียงเล็กน้อยก่อนส่งออก ซึ่งจำนวนรายการสินค้าที่สหรัฐขอให้ตรวจสอบนั้นมีมากพอสมควร
นายธีรัชย์ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าเป็นข้อกังวลสำคัญของสหรัฐ และไทยจะต้องมีการกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจนในการดำเนินการ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงการค้าอย่างเป็นทางการ คาดว่ารายละเอียดสำคัญรวมถึงไทม์ไลน์ของแต่ละฝ่ายจะถูกระบุไว้ในข้อตกลงฉบับนี้
“กรณีข้อตกลงการค้านี้เป็นเพียงเคสที่พิเศษที่ทำกับสหรัฐอเมริกาเท่านั้น รูปแบบความร่วมมือลักษณะนี้ไม่ควรนำไปใช้กับประเทศอื่น เพราะหากเป็นการทำ FTA กับประเทศอื่น ควรยึดหลักการขององค์การการค้าโลก (WTO) ที่เป็นสากล”