‘ทูตรัศม์’ ย้ำไทยมีแต้มต่อในเวทีโลก-แต่เพลี่ยงพล้ำสงครามข่าวสารภายในประเทศ
เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 นายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ โพสต์ว่าผมขอยืนยันว่าในเวทีโลกเราไม่ได้เสียเปรียบหากแต่มีแต้มต่อด้วยซ้ำ
ส่วนที่เสียเปรียบและเพลี่ยงพล้ำก็คือเรื่องสงครามข่าวสารในประเทศไทยของเราเอง แต่ไม่ใช่บนเวทีโลกครับ
ทำไมถึงกล้าพูดว่าในเวทีโลก ด้านการทูตการต่างประเทศ ไทยเราเป็นฝ่ายชนะ?
1.) ไทยเราย้ำเสมอมาว่าการแก้ไขปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา จะต้องเป็นการดำเนินการโดยการเจรจาอย่างสันติวิธีในแบบทวิภาคี ซึ่งท้ายที่สุด แม้ฝ่ายกัมพูชาจะพยายามลากเรื่องไปสหประชาชาติ ด้วยการเปิดโจมตีไทยก่อนรวมทั้งเป้าหมายพลเรือน เพื่อบีบบังคับให้ไทยต้องตอบโต้ป้องกันตนเอง เขาจะได้เอาเรื่องไปฟ้องคณะมนตรีความมั่นคง (UNSC) และให้ UNSC ส่งเรื่องไปศาลโลก (ICJ) อย่างที่เขาหวัง
แต่ท้ายที่สุด UNSC ก็บอกให้กลับมาหาข้อยุติในกรอบอาเซียน ซึ่งอาเซียนก็ขอให้หยุดยิงและให้มีการเจรจาทวิภาคี ตามกลไกที่เคยตกลงกันไว้ ( GBC, JBC) ซึ่งก็เป็นไปตามสิ่งที่ไทยต้องการและย้ำเสมอมาตั้งแต่แรกนั่นเอง ซึ่งก็คือไทยก็ได้ตามสิ่งที่เราต้องการ นั่นคือการเจรจาแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีแบบทวิภาคี
ส่วนฝ่ายกัมพูชานั้นไม่ได้ตามที่เขาหวัง แถมยังต้องเสียหายอย่างหนักมากทั้งในแง่ไพร่พลทหาร และความน่าเชื่อถือในสายตาชาวโลก จากการเริ่มเปิดฉากยิงก่อนและจงใจรวมเป้าหมายทางพลเรือนของไทยด้วย
2.ไม่มีประเทศใดในโลกออกมาประนามไทยหรือเข้าข้างกัมพูชา โดยเฉพาะหลังจากที่ไทยตอบโต้การโจมตีของกัมพูชา ทั้งที่ปกติประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าย่อมถูกมองว่าเป็นฝ่ายแนวโน้มที่ใช้กำลังแก้ไขปัญหา และในขณะที่ฝ่ายกัมพูชาพยายามเล่นบทบาทเหยื่อ (playing victim) มาโดยตลอดในเวทีโลก แต่ก็ไม่ได้มีใครคล้อยตามกัมพูชา
จากทั้ง 2 ข้อนี้คือสิ่งยืนยันว่าในเวทีโลกไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบ ซึ่งก็เป็นเพราะการดำเนินการทางการทูตที่แสดงให้โลกประจักษ์ว่าไทยเป็นฝ่ายอดกลั้นมาโดยตลอด และถูกบีบบังคับให้ต้องป้องกันตนเอง ซึ่งการทูตเราเน้นการสื่อสารด้วยข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือเสมอ
ส่วนที่เราเสียเปรียบและเพลี่ยงพล้ำก็คือเรื่องสงครามข่าวสารในประเทศไทยของเราเอง ซึ่งมันก็มีหลายสาเหตุ
ทั้งจากความล่าช้าของหน่วยราชการด้วยกันเอง ที่ต้องรอพิสูจน์หลักฐานต่างๆ อย่างแน่ชัดก่อนพูดออกไป เพราะเราต้องอยู่บนความถูกต้องและน่าเชื่อถือ ซึ่งเราไม่สามารถขาดตรงนี้ได้เลย (แต่ก็ยอมรับว่าทำให้ล่าช้าหลายกรณีและต้องนำไปปรับปรุง)
ในขณะที่กัมพูชานั้น ในความเป็นจริงเป็นรัฐอำนาจนิยม/เผด็จการ ย่อมสั่งการทุกอย่างได้รวดเร็ว อีกทั้งไม่ได้ให้ความสนใจในความถูกต้องของข้อมูล เขาไม่มีสื่ออิสระหรือฝ่ายค้านแท้จริงที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบทัดทานใดๆ
ส่วนสังคมไทยเป็นสังคมเปิดกว้าง มีความหลากหลาย แบ่งฝักฝ่ายและแตกแยก มีฝ่ายค้าน มีสื่ออิสระมากมาย รวมทั้งมีกลุ่มคนที่พร้อมจะหยิบเอาสิ่งที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างมาใช้ขยายความโจมตีรัฐบาลไทยต่อ ซึ่งรวมถึงสื่อของไทยบางส่วนเองด้วย ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ซึ่งมันคงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจนักที่ในประเทศของเราเอง การสื่อสารของฝ่ายรัฐบาลยากที่จะเป็นฝ่ายชนะได้
แต่ก็ยืนยันอีกครั้งว่า ในเวทีโลกเราไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ และถือว่าเรามีแต้มต่อด้วย