PRINC ตั้งการ์ดรับวิกฤต ศก. คุมเข้มต้นทุน ลดค่าใช้จ่าย พยุงรายได้
นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการโรงพยาบาลเอกชนและธุรกิจสุขภาพในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ (PRINCIPAL HEALTHCARE) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศและทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายหลายประการ อาจเรียกได้ว่าหลายอย่างอยู่เหนือความคาดหมายจนเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย โดยผู้บริโภคมีกำลังซื้อเกี่ยวกับเรื่องการรักษาโรคในทุกหมวดหมู่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งกลุ่มลูกค้าส่วนบุคคลและลูกค้าบริษัท
หากมองภาพรวมธุรกิจเฮลท์แคร์ในไทย ไม่นับช่วงเหตุการณ์โควิด-19 ปี 2568 ถือเป็นปีที่ยากลำบากที่สุด ขณะเดียวกันแนวโน้มค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพส่วนที่เน้นการป้องกันและส่งเสริมกลับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะการดูแลร่างกายไม่ให้เจ็บป่วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งเป็นแนวโน้มการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลก
สำหรับผลการดำเนินงานของเครือโรงพยาบาล PRINC Group ซึ่งดำเนินธุรกิจเฮลท์แคร์และโรงพยาบาล มองว่าไตรมาส 1 มีสถานการณ์ค่อนข้างยาก ถัดมาไตรมาส 2 ประเมินว่าน่าจะดีขึ้น ผู้คนยังต้องการบริการด้านสุขภาพและยังมีความจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ในกรณีเจ็บป่วย หรือเข้ารับบริการดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่อง คาดว่าผลประกอบการจะโตขึ้นและกำไรดีเหมือนเดิม แต่อัตราการเติบโตอาจไม่รวดเร็วเหมือนในภาวะปกติที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มและความท้าทายในช่วงไตรมาส 3 หรือครึ่งหลังของปี 2568 อาจคาดเดาได้ยากที่สุดจากปัจจัยภายนอก ทั้งเศรษฐกิจโลก, การค้า, สภาพคล่องทางการเงินในประเทศ ตลอดจนการเมืองที่อาจส่งผลกระทบอย่างรุนแรง
“ไตรมาส 3 ภาวะเศรษฐกิจเป็นปัจจัยลบสำคัญในการดำเนินงานทุกธุรกิจ ส่วนธุรกิจเฮลท์แคร์อย่างโรงพยาบาลในเครือของเราก็พยายามพัฒนาเต็มกำลังสำหรับให้บริการลูกค้า โดยคนส่วนใหญ่เริ่มหันมาใส่ใจเรื่องอาหารการกิน ใช่จ่ายเกี่ยวกับการดำรงชีวิตมากกว่า ทำให้การบริหารจัดงานธุรกิจต้องมีความมุ่งมั่นและความทุ่มเทที่มากขึ้นจึงจะอยู่รอดได้”
นายแพทย์กฤตวิทย์ กล่าวว่า PRINC มีโรงพยาบาลในเครือที่รับกลุ่มผู้ป่วยประกันสังคม และกลุ่ม สปสช. (บัตรทอง) ส่วนใหญ่รับคนไข้และผู้มาใช้บริการเป็นคนไทยกว่า 95% ต่างชาติ 5% จากแผนงานเคยคิดจะขยายรายได้จากกลุ่มคนไข้ต่างชาติให้โตเป็นเท่าตัว แต่สถานการณ์เศรษฐกิจและสภาพการเดินทางระหว่างประเทศที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องปรับแผนใหม่ และยอมรับว่าตัวเลขอาจไม่เป็นไปตามคาดไว้
ส่วนการขยายเครือข่ายโรงพยาบาลจากเดิมตั้งเป้าไว้ประมาณ 20 แห่ง ปัจจุบันยังคงอยู่ในขอบเขต 17 แห่ง โดยการขยายตัวจะเพิ่มศูนย์บริการ เพิ่มตึกรองรับผู้ป่วยให้ครอบคลุมมากขึ้น พร้อมทั้งมีโรงพยาบาลที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และโรงพยาบาลที่ซื้อเข้ามาแล้วต้องปรับปรุงซึ่งมีฐานลูกค้าและรายได้เดิมอยู่แล้ว เช่น โรงพยาบาลที่กาญจนบุรี โดยจะเข้าไปพัฒนาให้ทันสมัยขึ้น ซึ่งยังเพียงพอต่อการติบโตอย่างยั่งยืน
สำหรับภาพรวมการลงทุนในปีนี้ คาดว่าจะมีความชัดเจน หลังประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งการปรับตัวและการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการภายในองค์กร เช่น การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น การใช้ทรัพยากรร่วมกันภายในกลุ่มทำให้ประสิทธิภาพ ในการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านรายได้ให้สูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริการด้านสุขภาพยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับประชาชนคนทั่วไป ทำให้ผลประกอบการโดยรวมของ PRINC ยังคงเติบโตและมีกำไร แต่ต้องเน้นกลยุทธ์การปรับตัว การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการภายใน เพื่อร่วมมือกันให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันไปได้