ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คืออะไร? เข้าใจง่าย ฉบับ 101
ในโลกยุคโลกาภิวัตน์ การค้าระหว่างประเทศคือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจ แต่ “ภาษีนำเข้า” กลับกลายเป็นเครื่องมือที่ประเทศมหาอำนาจใช้กำหนดเกมการค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ภาษีเป็นทั้งโล่ป้องกัน และดาบเจรจา
ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ อาจฟังดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่แท้จริงแล้วส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในหลายมิติ ทั้งการส่งออก แรงงาน และค่าครองชีพ
บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานของภาษีนำเข้า ไปจนถึงผลกระทบล่าสุดที่ไทยต้องเผชิญในปี 2568
ภาษีนำเข้าคืออะไร?
ภาษีนำเข้า (Import Tariff) คือ ภาษีที่ประเทศหนึ่งเรียกเก็บจากสินค้า “ที่ผลิตในต่างประเทศและถูกนำเข้ามาขายในประเทศของตน” โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อ
- เพิ่มราคาสินค้านำเข้าให้แพงขึ้น
- ทำให้สินค้าภายในประเทศขายได้ง่ายขึ้น
- หารายได้เข้ารัฐ
- ใช้ต่อรองกับประเทศคู่ค้า
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ
หากบริษัทไทยผลิตเสื้อยืด และส่งไปขายในสหรัฐฯ ต้นทุนอยู่ที่ 100 บาท ถ้าสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า 20% แปลว่าเสื้อตัวนั้นต้องจ่าย “ภาษี” 20 บาท รวมเป็น 120 บาทก่อนวางขายในร้าน
แล้วทำไม “สหรัฐฯ” จึงมีบทบาทมากเรื่องภาษีนำเข้า?
เพราะสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในผู้นำเข้ารายใหญ่ของโลก มีอำนาจต่อรองสูง และมักใช้ภาษีเป็น “เครื่องมือเชิงนโยบาย” เช่น
- ปกป้องผู้ผลิตในประเทศ จากสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ
- กดดันประเทศอื่นให้ยอมเจรจา เช่น ให้เปิดตลาดหรือแก้ไขกฎบางอย่าง
- สนับสนุนเป้าหมายทางการเมือง เช่น การลดการพึ่งพาจีน หรือกดดันกลุ่มประเทศที่มีพฤติกรรมไม่เป็นมิตร
แล้วภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เกี่ยวอะไรกับไทย?
เกี่ยวเต็ม ๆ เพราะสหรัฐอเมริกาเป็น หนึ่งในตลาดส่งออกสำคัญอันดับต้น ๆ ของไทย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้ามูลค่าสูงและสร้างงานจำนวนมาก เช่น
- อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ฮาร์ดดิสก์ เมนบอร์ด ชิ้นส่วนเซมิคอนดักเตอร์
- ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เช่น แชสซีส์ สายไฟ ระบบเบรก
- อาหารแปรรูป เช่น ไก่แช่แข็ง ปลาทูน่ากระป๋อง ผลไม้แห้ง ข้าวพร้อมรับประทาน
- เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มีโรงงานตั้งอยู่ในไทย ทั้งในนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ
ไทยส่งออก = ไทยได้รายได้
ทุกครั้งที่ไทยส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศ แล้วได้เงินกลับมา ถือว่าเป็น“รายได้ประเทศ” ซึ่งนำมาใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เช่น จ่ายค่าแรง พัฒนาสินค้า จ่ายภาษีให้รัฐ หรือแม้แต่กระตุ้นธุรกิจภายในอย่างโลจิสติกส์ บรรจุภัณฑ์ และโฆษณา
สหรัฐฯ เป็น “ตลาดปลายทาง” ที่ซื้อของจากไทยมากกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 15–16% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
เมื่อภาษีสูงขึ้น เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยสูงขึ้น เช่น จาก 0% หรือ 5% ขึ้นเป็น 19% หรือมากกว่านั้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ
- ราคาสินค้าไทยในสหรัฐฯ สูงขึ้นทันที
- ผู้บริโภคชาวอเมริกันอาจ ไม่เลือกซื้อสินค้าไทย เพราะแพงกว่าเวียดนาม จีน หรือเม็กซิโก
- ยอดขายลดลง → โรงงานไทยผลิตน้อยลง → รายได้ลดลง → อาจต้องลดพนักงาน
ตัวอย่างที่เห็นภาพชัดเจน
เพื่อให้เห็นภาพว่า “ภาษีนำเข้า 19%” ส่งผลอย่างไร
สมมุติว่า…โรงงานไทยที่ผลิตหม้อหุงข้าวไฟฟ้าส่งออกไปยังห้าง Walmart ในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ของสินค้าใช้ในบ้าน
ก่อน 1 สิงหาคม 2568สหรัฐฯ เคยมีแนวโน้มจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยที่ 36% หากไม่มีข้อตกลง
หากราคาโรงงานไทยขายส่งที่ 1,000 บาท สินค้าจะต้องโดนภาษีเพิ่มถึง 360 บาท รวมเป็น 1,360 บาท ทำให้แพงกว่าสินค้าจากประเทศอื่นอย่างชัดเจน
หลังเจรจาเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ไทยสามารถเจรจาให้ ลดอัตราภาษีเหลือ 19%
ทำให้หม้อหุงข้าวไทยที่เดิมต้องบวก 360 บาท เหลือเพิ่มแค่ 190 บาท ราคาขายส่งรวมเป็น 1,190 บาท
แต่…ถึงแม้จะลดลงมาแล้ว ยังไม่ใช่จุดแข็งเทียบกับคู่แข่งได้
คู่แข่งอย่างเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ ให้เก็บภาษี 20% เท่ากับไทย หรือใกล้เคียงกัน
แต่หากเวียดนามมี “ต้นทุนถูกกว่า” หรือได้ข้อตกลงด้านอื่น (เช่น Logistics หรือวัตถุดิบในประเทศ)
ราคาสินค้าอาจยังต่ำกว่า เช่น หม้อหุงข้าวเวียดนามอาจอยู่ที่ 1,050 บาท
ในสายตาของห้าง Walmart หรือผู้ซื้อชาวอเมริกัน “สินค้าที่ราคาถูกกว่าเล็กน้อย + ได้คุณภาพพอ ๆ กัน” ก็คือทางเลือกที่น่าซื้อมากกว่า
ส่งผลให้ สินค้าจากไทยถูกสั่งซื้อลดลง → โรงงานผลิตน้อยลง → รายได้ลดลง → อาจต้องลดพนักงาน หรือลดกำลังผลิต
แม้การลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ถือว่า “ช่วยได้มาก” แต่ยังไม่เพียงพอหากไทยยังแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว ผู้ประกอบการไทยต้อง พัฒนาแบรนด์ คุณภาพ และความเชื่อมั่นของสินค้า ให้มากขึ้น เพื่อให้ลูกค้า “เลือกเพราะอยากซื้อ” ไม่ใช่แค่เพราะถูกที่สุด
แล้วภาษีเกี่ยวกับแรงงานยังไง?
เมื่ออุตสาหกรรมผลิตเพื่อส่งออกได้รับผลกระทบ ก็ สะเทือนถึงแรงงานไทยโดยตรง เช่น
- คนงานในโรงงานอาจต้องหยุดงานบางวัน หรือไม่มีโอที
- ผู้รับเหมารายย่อย เช่น บริษัทโลจิสติกส์ บรรจุภัณฑ์ หรือแม่ค้าในห่วงโซ่อาหารโรงงานก็ได้รับผล
- รายได้ครัวเรือนในพื้นที่ผลิตลดลง ส่งผลต่อการบริโภคในระดับท้องถิ่น
สหรัฐฯ เปลี่ยนภาษี = ไทยต้องปรับตัว
สิ่งสำคัญคือ ไทยไม่สามารถควบคุมนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ได้โดยตรง แต่สามารถ “ปรับตัว” ได้ เช่น
- หาตลาดใหม่ที่มีภาษีต่ำกว่า เช่น จีน อินเดีย กลุ่มตะวันออกกลาง
- ผลิตสินค้าคุณภาพสูงที่ “ลูกค้าจำเป็นต้องซื้อ” แม้จะแพงกว่า เช่น สินค้านวัตกรรม หรือแบรนด์เฉพาะทาง
- ลดต้นทุนในประเทศ เพื่อให้แข่งขันได้แม้มีภาษีเพิ่ม
ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัว
แม้คำว่า “ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ” จะฟังดูเป็นเรื่องของนักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์ หรือผู้ส่งออกรายใหญ่ แต่ในความเป็นจริง มันเกี่ยวข้องกับเราทุกคน เพราะเมื่อภาษีเพิ่มขึ้น → ราคาสินค้าไทยในต่างประเทศแพงขึ้น → ส่งออกยากขึ้น → โรงงานผลิตน้อยลง → จ้างงานน้อยลง → เศรษฐกิจไทยโตช้าลง
ข่าวดีคือไทยสามารถเจรจาลดภาษีลงจาก 36% เหลือ 19% ได้สำเร็จในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 แต่ข่าวร้ายคือ ในโลกที่การแข่งขันสูงขนาดนี้ แค่ “ได้ลดภาษี” ยังไม่พอ หากไม่มีการปรับตัวทั้งในเชิงคุณภาพสินค้า การพัฒนาแบรนด์ และการกระจายตลาด
ดังนั้น ถ้าเราเข้าใจ “ภาษีนำเข้า” อย่างถ่องแท้ เราก็จะเห็นภาพว่าเศรษฐกิจโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นระบบที่ส่งผลถึงชีวิตประจำวันของเราทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- เช็กอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ล่าสุดของแต่ละประเทศในเอเชีย โดนเท่าไหร่กันบ้าง?
- จีนกำลังการผลิตล้น ส่งผลต่อการค้าโลกอย่างไร?
- ไทยลุ้น "ภาษีทรัมป์" นับถอยหลัง 24 ชั่วโมง ก่อนเส้นตาย ด้านพาณิชย์เตรียม"วันสต็อปเซอร์วิส" ดูแลผู้รับผลกระทบ
- "ทรัมป์" ประกาศเก็บภาษี ‘อินเดีย’ 25% ปมซื้อน้ำมัน"รัสเซีย" และเข้าร่วมกลุ่ม BRICS แต่ย้ำยังเจรจาได้
- ไทยเตรียมส่งข้อเสนอรอบสุดท้าย เจรจาภาษีนำเข้าสหรัฐฯ