คุยกับ ‘ต้ามู่’ เต้าหู้ 100 ปีนครปฐม ในวันที่ผสานวิธีทำดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยี
ช่วงเวลาตี 2 ของใครหลายคนอาจเป็นเวลานอน แต่ที่โรงงานแห่งหนึ่งในนครปฐมเริ่มเปิดไฟมาเตรียมวัตถุดิบและใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมงจวบจนบ่าย 2 ถึงจะได้ผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นเต้าหู้สักก้อน ด้วยการใช้กรรมวิธีการผลิตเต้าหู้แบบโบราณที่สืบทอดกันมาถึง 100 ปี และมีลูกค้ามาสั่งจองเต้าหู้ถึงหน้าร้านไม่ขาดสาย
ร้านที่เรากำลังพูดถึงคือ ‘ต้ามู่’ เต้าหู้ในตำนานแห่งจังหวัดนครปฐม ที่ทำให้หลายคนยอมขับรถมาหลายชั่วโมง เพื่อลิ้มลองเต้าหู้ที่ทำกันสดๆ วันต่อวัน มีความนิ่มเหมือนที่คนชอบเปรียบเทียบกันว่าเหมือนเนื้อคัสตาร์ด
เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ยอมขับรถมาจากกรุงเทพฯ และถึงโรงงานแห่งนี้ตอนตี 5 เพื่อให้ได้เห็นภาพวิธีการทำกับตาและอยากสนทนากับ เอก–วิโรจน์ อางนานนท์ ทายาทรุ่นที่ 4 ของต้ามู่
“อุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์แบบดั้งเดิม เพราะวิธีการทำเต้าหู้ของร้านต้ามู่ เราจะใช้คนทำในทุกขั้นตอน จึงต้องทำซ้ำจนเกิดความชำนาญ ถ้าใช้อุปกรณ์เหมือนเดิมจะทำซ้ำได้ง่ายกว่า”
ชายตรงหน้าบอกกับเราก่อนจะพาไปดูการทำ ที่เขาเน้นย้ำว่าข้ามขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งไปไม่ได้เลย เพราะทุกขั้นตอนมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่สามารถมองข้ามได้ เพื่อให้ได้เต้าหู้ในความทรงจำของเขาที่มีทั้งความนิ่มและความสดใหม่
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยด้วยการเปลี่ยนจากการต้มจากตอนแรกที่ใช้ฟืน มาใช้หม้อต้มแบบสตีมไอน้ำและใช้เตาแก๊ส เพื่อให้สามารถทำเต้าหู้ได้ไวยิ่งขึ้น
และที่น่าทึ่งคือในทุกวัน เต้าหู้ของต้ามู่มียอดจองเกือบเต็มตลอด และในช่วงเวลาบ่าย 2 ที่เพิ่งเปิดรับคิววอล์กอิน ก็มีคนมาต่อแถวจนเต็มหน้าโรงงานและขายหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ
เพราะฉะนั้นไม่อยากให้ทุกคนรอช้า แล้วตามมาดูกันว่าเบื้องหลังตำนานเต้าหู้ที่ส่งต่อกรรมวิธีการทำจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 100 ปีมีเคล็ดลับอะไรซ่อนอยู่
ย้อนรอยจุดเริ่มต้นของเต้าหู้อายุนับ 100 ปี
ถ้าใครเคยเห็นในหนังหรือละครที่คนจีนโล้สำเภาเข้ามาตั้งรกรากที่ประเทศไทย พร้อมเสื่อผืนหมอนใบ ชีวิตของครอบครัวเอก ทายาทรุ่น 4 ผู้สืบทอดธุรกิจต้ามู่ เต้าหู้โบราณที่ส่งต่อกันมากว่า 100 ปี ก็มีจุดเริ่มต้นไม่ต่างกัน
“ช่วงการปฏิวัติซินไฮ่ คุณปู่ของผมก็โล้สำเภามาตั้งโรงงานที่นี่ แล้วมีอาชีพติดตัวไม่กี่อย่างคือเป็นหมอดูกับทำเต้าหู้นี่แหละ แต่ไม่มีใครสืบทอดวิชาหมอดู มีแต่เต้าหู้ที่ยังส่งต่อสูตรและวิธีการทำกันมาเรื่อยๆ ซึ่งจุดเริ่มต้นพวกนี้เป็นเรื่องที่เขาเล่าต่อๆ กันมา
“ผมก็รู้มาจากญาติที่อยู่ข้างบ้าน เขาเป็นหลานของลูกชายคนโตที่ตอนนี้อายุก็ปาไป 80 ปีแล้ว และเป็นคนเดียวที่ยังทันคนรุ่นเดิมอยู่ ส่วนผมเป็นหลานของลูกคนที่ 3 ตอนที่ผมเกิดปู่ก็เสียไปแล้วเลยรู้เรื่องอะไรไม่ค่อยมาก”
ด้วยความที่อยากรู้จุดเริ่มต้นของเต้าหู้ที่แท้จริง เอกได้ไปพูดคุยกับอาจารย์ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ความว่าจุดเริ่มต้นของเต้าหู้มาจากที่หมอหลวงเห็นฮ่องเต้ประชวร จึงอยากหาอาหารเสริมที่เป็นสมุนไพรหรือแร่ธาตุต่างๆ หนึ่งในนั้นมีตัวที่เราเรียกกันว่ายิปซัม ซึ่งไม่ได้อยู่ในเนื้อสัตว์ แต่เป็นแคลเซียมธรรมชาติที่พบได้ในพืช
ปัญหาต่อมาคือแล้วจะให้ฮ่องเต้เสวยยิปซัมได้ยังไง หมอหลวงจึงลองใส่ไปในเครื่องเทศต่างๆ และใส่ไปในเต้าหู้ ปรากฏว่าเต้าหู้จับตัวเป็นก้อน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเต้าหู้จริงๆ ก่อนที่จะปรับสูตรกันมาเรื่อยๆ จนได้เต้าหู้ที่มีสัมผัสและรสชาติเฉพาะของแต่ละร้าน
จากเต้าหู้ตาโต สู่เต้าหู้ต้ามู่
“สมัยที่ผมเป็นเด็ก แถวนี้จะมีโรงงานที่ทำเต้าหู้หลายโรงงาน ไม่ได้มีแค่ผมเจ้าเดียวนะ อารมณ์เหมือนในประเทศจีนที่จะมีหมู่บ้านหนึ่งที่ทำแต่เต้าหู้ แล้วเวลาเขามาซื้อเต้าหู้กับปู่ผมเขาก็จะเรียกว่าร้านเต้าหู้ตั๊วเก็ก เป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว แปลว่าตาโตหรือตาใหญ่ เพราะปู่ผมเขาเป็นคนตาโต พอมาถึงรุ่นพ่อผมเขาก็ยังเรียกชื่อร้านแบบนี้อยู่”
เอกเล่าถึงชื่อร้านก่อนที่เขาจะมารับช่วงต่อและเปลี่ยนชื่อร้าน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป พร้อมสร้างแบรนด์ให้คนจดจำในตัวสินค้ามากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากทิ้งภาพจำ จึงเลือกที่จะใช้ภาษาจีนกลางที่ดูเป็นสากลมากขึ้น และใช้ชื่อเป็น ‘ต้ามู่’ ที่มีความหมายว่าตาโต เหมือนกับความหมายของชื่อร้านเดิม
ปัจจุบันโรงงานเต้าหู้ที่ผลิตด้วยวิธีแบบดั้งเดิมปิดตัวลงไปหลายแห่ง และเหลืออยู่เพียง 4-5 โรงงานเท่านั้น เต้าหู้ต้ามู่ก็เกือบจะไม่มีผู้สืบทอดกิจการเช่นเดียวกัน ด้วยความที่เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือน ทำให้เอกเห็นภาพการทำเต้าหู้มาตั้งแต่เด็ก ว่าต้องใช้คนเยอะในการทำงาน และใช้เวลานานกว่าจะได้เต้าหู้สักก้อน ทำให้เขาและน้องๆ ในครอบครัวแยกย้ายกันไปเรียนต่อ และไม่ได้กลับมาดูกิจการของที่บ้าน
“จุดพลิกผันที่ทำให้ผมมารับช่วงต่อ เกิดจากตอนที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยจบแล้วพ่อป่วยเป็นโรคไตวาย ซึ่งในยุค 20 ปีก่อนไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการรักษามากนัก เครื่องฟอกไตมีอยู่แต่โรงพยาบาลในตัวเมืองอย่างเดียว ค่าใช้จ่ายก็สูง ในครอบครัวก็มีความเห็นตรงกันว่าจะรักษาพ่อ
“นั่นแปลว่าต้องมีทั้งคนพาพ่อไปหาหมอ มีคนทำเต้าหู้ขาย เพื่อให้ธุรกิจนี้เดินต่อไปได้ ตอนนั้นไม่ได้มีการมาถ่ายทอดวิชาแบบเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำ แต่อาศัยครูพักลักจำจากการที่ครอบครัวคนจีนจะสอนให้ลูกหลานทำงานตั้งแต่เด็ก แล้วให้มาช่วยงานที่บ้านได้”
จังหวะที่มารับช่วงต่อเอกยอมรับว่าเกิดปัญหาขึ้นมากมาย แต่เขามองว่าทุกธุรกิจย่อมมีปัญหาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเรื่องคนงาน เรื่องการบริหารกระแสเงินสด แต่สิ่งที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้คือการแก้ปัญหาทีละเรื่อง ไม่เอาปัญหาทุกเรื่องมาปะปนกัน และหัวใจสำคัญคือพอเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วจะต้องเข้าใจทุกๆ เรื่องให้มากที่สุด ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างแน่นอน
คงวิถีดั้งเดิม เพิ่มเติมวิถีใหม่
เอกพาเดินทัวร์โรงงานและชี้ให้ดูว่าอุปกรณ์เกือบทุกชิ้นเป็นอุปกรณ์แบบดั้งเดิม เพราะวิธีการทำเต้าหู้ของร้านต้ามู่จะใช้คนทำในทุกขั้นตอนจึงต้องทำซ้ำจนเกิดความชำนาญ ถ้าใช้อุปกรณ์เหมือนเดิมจะทำซ้ำได้ง่ายกว่า และมีหลายขั้นตอนกว่าจะได้เต้าหู้สักก้อน
ต้องเริ่มตั้งแต่ตื่นมาแช่ถั่วเหลืองตอนตี 2 เริ่มโม่ถั่วตอนตี 5 กรองถั่วด้วยผ้าขาว ก่อนจะนำไปต้มในเตาและได้ผลิตภัณฑ์แรกคือฟองเต้าหู้ ที่ขายเป็นทั้งฟองเต้าหู้สดและฟองเต้าหู้แห้ง รวมถึงได้น้ำเต้าหู้ที่ไม่เติมน้ำตาล แต่ยังคงเป็นน้ำเต้าหู้ที่ดื่มง่าย ไม่เหม็นกลิ่นถั่วเหลือง
หลังจากนั้นได้มีการเติมดีเกลือลงไปเพื่อให้เต้าหู้แยกชั้นและจับตัวเป็นก้อน ก่อนจะตักเต้าหู้ลงบล็อกไม้ ห่อด้วยผ้าขาวบาง หลังจากเต้าหู้ขึ้นรูปก็นำไปให้หินทับเพื่อรีดน้ำออกมา ก็จะได้เป็นเต้าหู้นิ่มๆ เหมาะสำหรับทำแกงจืดโดยเฉพาะ และเต้าหู้ขาวที่เหมาะสำหรับทำกับข้าวแทนเนื้อสัตว์
ส่วนเต้าหู้เหลืองจะใส่ขมิ้นลงไป เหมาะสำหรับนำไปผัดหรือทอด หรือถ้าอยากกินเต้าหู้ทอดทันที ที่ร้านก็มีขาย นอกจากนี้ยังมีเต้าหู้แบบใหม่ที่เอกคิดค้นตอนไปออกรายการปัญญา 5 ดาว คือเต้าหู้ดำ ที่ใส่ซีอิ๊วสูตรเฉพาะของทางร้าน ได้เต้าหู้ที่มีความหวานเค็มกำลังดี และกว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนพร้อมขาย ก็เป็นช่วงเวลาประมาณบ่าย 2
“เรามีขั้นตอนการทำเยอะมาก และไม่สามารถข้ามขั้นตอนไหนไปได้เลย ทุกขั้นตอนเรายังใช้คนทำ เพราะเป็นวิธีการที่เน้นการใช้ประสบการณ์แบบที่เครื่องจักรยังมาแทนทั้งหมดไม่ได้ อย่างการห่อเต้าหู้แต่ละรอบจะใช้ความแน่นในการห่อไม่เท่ากัน ต้องกะด้วยสายตาว่าประมาณไหนถึงพอดี แล้วจะปล่อยทิ้งไว้นานไม่ได้ เต้าหู้มันจะเละเกินไป หรือตอนใช้หินทับรีดน้ำออก ถ้าน้ำออกเยอะเกินเต้าหู้ก็จะแข็งไป พวกนี้เป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มองข้ามไม่ได้เลย
“ยิ่งเรื่องของวัตถุดิบที่เป็นผลผลิตทางการเกษตรอย่างถั่วเหลือง ก็จะคล้ายข้าวที่มีข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ถั่วแต่ละล็อตก็จะไม่เหมือนกัน อย่างถั่วล็อตเก่าจะเก็บน้ำไม่ดีเท่าถั่วล็อตใหม่ ทำให้ทุกครั้งที่เปลี่ยนล็อตวัตถุดิบ ผมต้องมาดูว่าเนื้อเต้าหู้แต่ละแบบยังเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงของเดิมไหม”
ถึงแม้เอกจะพยายามคงอุปกรณ์และวิธีทำแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยน เขาก็ต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้อย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนขั้นตอนการต้มจากตอนแรกที่ใช้ฟืน มาใช้หม้อต้มแบบสตีมไอน้ำและใช้เตาแก๊ส เพราะช่วงเวลาที่ใช้ฟืนมีทั้งปัญหาเรื่องของฟืนเปียก ทำให้ไฟจุดติดยาก ต้องคอยเติมฟืนตลอดเวลา ถ้าวันไหนขั้นตอนนี้ล่าช้า ก็จะทำให้ทุกขั้นตอนช้าไปหมด แต่การเปลี่ยนมาใช้เตาแก๊สก็สามารถเปิดเตาทิ้งไว้แล้วไปทำอย่างอื่นต่อได้ ทำให้การผลิตเร็วขึ้นด้วย
สินค้าดีที่อยู่ได้ด้วยการบอกต่อ
หลายคนชอบบอกว่าต้ามู่ทำเต้าหู้ที่ไม่เหมือนใคร เอกบอกว่าเขาไม่อยากเปรียบเทียบกับใคร เพียงแค่อยากทำเต้าหู้ให้ออกมาเหมือนกับที่เขาเคยกินตั้งแต่เด็ก เป็นเต้าหู้ในความทรงจำที่มีความสดใหม่ ความนิ่ม ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่านิ่มมากหรือนิ่มน้อย ไม่เหมือนกับเวลาไปสั่งน้ำหวานที่จะบอกได้ว่าเอาหวาน 25% หวาน 50% แต่เขาเองจะเป็นคนรู้จากประสบการณ์ว่านิ่มประมาณนี้แหละคือเต้าหู้ตามมาตรฐานของต้ามู่
“เราอยากให้ลูกค้าได้ประสบการณ์ในการทานเต้าหู้สดใหม่นั่นคือหัวใจหลัก เราเลยทำเต้าหู้ปลอดสารก็คือไม่ใส่สารกันบูด เพราะผมรู้สึกว่าในปัจจุบันถ้ามองว่าสินค้าทุกอย่างเป็นธุรกิจมากจนเกินไป อาจจะกัดกร่อนคุณภาพของสินค้าได้ แล้วหันไปใส่สารกันบูดเพื่อให้ขายได้นานขึ้น แต่การทำแบบนี้ไม่ตรงตามความตั้งใจของเราตั้งแต่ต้น เรารู้สึกว่าเราอยากคงเต้าหู้ให้อยู่เหมือนเดิม ลูกค้าจะได้ประสบการณ์การทานของสดใหม่เสมอ”
เอกจึงเน้นที่การทำเต้าหู้สดใหม่ทุกวัน และไม่มีการสต็อกสินค้า เพราะเขารู้สึกว่าการสต็อกสินค้าทำให้คุณภาพของสินค้าลดลง แค่ 1 วัน 2 วัน หรือ 3 วัน คุณภาพก็ไม่มีทางเหมือนเดิมแล้ว ต่อให้จะแช่เย็นดีแค่ไหนก็ตาม เขาเปรียบเทียบว่าเหมือนกับการที่แกะห่อขนมออกมาแล้ว ต่อให้จะเก็บรักษาดียังไง รสชาติก็ไม่มีวันเหมือนตอนที่ทำสดใหม่หรือตอนที่ขนมยังไม่ถูกฉีกห่อออก
“ถ้าลูกค้ามองหาความสะดวกในการซื้อสินค้าเป็นอันดับแรก ผมบอกเลยว่าเราไม่ตอบโจทย์ เพราะถ้าเอาความสะดวกมาก่อน คือคุณจะต้องสต็อกสินค้า ซึ่งทุกวันนี้โลกมีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะไปหมด แค่สั่งของในเซเว่นครบ 100 บาท เขาก็มาส่งถึงหน้าบ้านคุณแล้ว แต่ผมรู้ว่าลูกค้าผมเป็นคนประเภทไหน คนที่อยากกินเต้าหู้สดใหม่ สินค้าผมก็จะไปตอบโจทย์คนเหล่านี้”
เอกเชื่อว่าสินค้าดีต้องขายตัวเองได้ เพราะหัวใจที่ทำให้ต้ามู่อยู่มาได้ถึง 100 ปี คือพลังของการบอกต่อกันแบบปากต่อปาก เขาเล่าว่าสมัยรุ่นปู่จะขายเต้าหู้ในตลาด เพราะเป็นแหล่งที่ผู้คนพลุกพล่าน และตั้งใจไปจับจ่ายใช้สอยกันแต่ในทุกวันนี้เอกให้ลูกค้ามาสั่งเต้าหู้ที่หน้าร้านเท่านั้น เพราะสินค้ามีการจองเต็มเกือบทุกวัน ถ้าลูกค้าโทรศัพท์มาแล้วเขาไม่รับคือออร์เดอร์เต็มแล้ว
เมื่อก่อนเขาเคยรับทุกสายและแจ้งรายละเอียดการสั่งล่วงหน้า นั่นทำให้เขาเสียเวลาไปกว่า 4-5 ชั่วโมงต่อวัน เขาจึงเลือกรับออร์เดอร์แค่หน้าร้านเท่านั้น เพื่อป้องกันการตกหล่นของออร์เดอร์ด้วย หากลูกค้าสั่งจำนวนมาก เอกจะให้ลูกค้าสั่งล่วงหน้าประมาณ 3 วัน หรือหากสั่งไปทานเองในจำนวนไม่มาก จะเปิดรับลูกค้าแบบวอล์กอินในเวลา 14:00 น.เป็นต้นไป
“โชคดีที่เราอยู่มานานและเห็นการเปลี่ยนผ่านในหลายเจเนอเรชั่น ตั้งแต่เด็กก็เห็นการตลาดสมัยก่อนคือต้องนำสินค้าไปขายในที่ที่คนเยอะๆ ในยุคสมัยกลางที่มีสื่อเข้ามา เราก็เอาสินค้าไปออกทีวีเพื่อโฆษณาได้ แต่ในปัจจุบันนี้ต่างออกไปแล้ว เราสามารถผลิตสื่อเองได้ ขายสินค้าออนไลน์ได้ก็จะง่ายขึ้นหน่อย เรามองว่าการตลาดส่วนใหญ่ถ้าแม่นยำจริงๆ ต้องมีคนบอกต่อ ไม่ใช่ว่าเราเป็นคนบอกเองว่าเต้าหู้เราอร่อยที่สุดในโลก มันเหมือนกับเราพูดว่าเราหล่อที่สุดในโลก อันนั้นคนอื่นต้องเป็นคนพูดมันถึงจะถูก”
ตั้งแต่เอกมารับช่วงต่อธุรกิจจากครอบครัว จวบจนปัจจุบันเขารับช่วงต่อมาถึง 20 ปีแล้ว ทำให้เขาได้บทเรียนว่าในการทำธุรกิจจะเติบโตเป็นเส้น curve ไม่ว่าจะเป็นทรงคว่ำหรือทรงหงาย แต่สุดท้ายทุกเส้น curve จะเริ่มนิ่งเป็นค่ากลางไม่ช้าก็เร็ว เอกเล่าว่าเขาเคยมีช่วงเวลาที่ไปตั้งบูท ทำทุกอย่างให้คนรู้จัก ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็ดังเป็นพลุแตก บางครั้งก็มีช่วงเวลาที่ดังมาก มีช่วงเวลาที่ยอดขายนิ่งบ้าง
ถึงอย่างนั้น เอกก็เข้าใจว่าคงไม่มีใครทานเต้าหู้ทุกวัน ยิ่งในประเทศไทยที่เต้าหู้ไม่ใช่แหล่งสารอาหารหลัก ไม่เหมือนกับที่ไต้หวัน สิงคโปร์ และฮาวาย ที่เป็นพื้นที่เกาะ ไม่มีการทำปศุสัตว์ ต้องกินเต้าหู้เป็นอาหารหลัก แต่ในไทยเต้าหู้เป็นอาหารทางเลือก ทำให้ตลาดนี้ในประเทศไทยไม่ได้โตมากนัก
ที่สำคัญเขายังขายในราคาที่ไม่แพงเพราะเขามองว่าปัจจุบันนี้อาหารที่ดีต่อสุขภาพมักมีราคาที่สูงเกินไป ทั้งที่จริงๆ แล้วต้นทุนอาจไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่พอขายคำว่าสุขภาพ คนมักจะยอมจ่าย เขาไม่อยากให้แบรนด์ตัวเองเป็นแบบนั้น เพราะเชื่อว่าไม่ต้องใช้เงินเยอะก็ซื้อสิ่งที่ดีต่อสุขภาพได้
“ในมุมของคนที่ทำธุรกิจมานาน ผมมองว่าทิศทางของตลาดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปัญหาคือเราจะต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับตลาดมากที่สุด ผมเชื่อว่าไม่มีธุรกิจไหนที่ไม่ปรับตัวแล้ว แต่ว่าจะปรับแบบไหนหรือว่าจะทำแบบไหน อันนั้นเป็นเรื่องของแต่ละธุรกิจ อย่างผมเลือกที่จะรักษาการทำแบบเดิมไว้ มีเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือ นำเทคโนโลยีมาใช้บ้างเพื่อให้ผลิตได้ไวและสะดวกขึ้น แต่บางคนอาจจะเปลี่ยนแพ็กเกจจิ้งให้ดีไปเลย หรือว่ามีบางเจ้าที่แตกไลน์ผสมนั่นผสมนี่ลงไปในเต้าหู้ด้วย เช่น เต้าหู้งาดำ เต้าหู้เคย
“แต่สุดท้ายแล้วผมว่าผู้บริโภคเขาจะเป็นคนให้คุณค่าของของสิ่งนั้นเอง ต้องอย่าลืมว่าเงินอาจจะอยู่บนถนนทั่วไป ทำยังไงให้เขายอมควักมาจ่าย อันนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก”
ส่วนหลังจากนี้จะมีการสืบทอดธุรกิจของต้ามู่อีกหรือไม่ เอกบอกว่าเป็นเรื่องความชอบส่วนบุคคล ไม่ได้แปลว่าทุกคนจะชอบเต้าหู้หรือชอบวิธีการทำแบบนี้ เขาจึงยังตอบไม่ได้ว่าสุดท้ายจะยังมีต่อหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามในยุคที่เขายังดำเนินธุรกิจต่อนี้ เขาจะรักษาสิ่งเดิมและปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้อย่างยั่งยืนต่อไป