กูรูชี้ครึ่งหลังปี 68 มีลุ้นไทยลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง มอง SET ฟื้นรับนโยบาย
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (ASPS) เปิดเผยว่า ประเมินภาพในช่วงไตรมาสที่ 3/68 SET Index ดูสดใสขึ้น แต่ยังต้องติดตามหลายปัจจัยเสี่ยง เริ่มที่ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลาง หลัง NATO บรรลุข้อตกลงเพิ่มงบกลาโหม 5% ของ GDP ภาย ใน 10 ปีข้างหน้า
ขณะที่สภาวะการค้าโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากความกังวลอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯต่อประเทศต่างๆที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และเพิ่มโอกาสเกิด Recession ท่ามกลางเงินเฟ้อที่อาจขยับขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 68 ทำให้ทั่วโลกโน้มเอียงไปทางภาวะ Stagflation (Stagnation + Inflation)
สิ่งที่ส่งผลตามมาคือ การเดินหน้าปรับลดดอกเบี้ยยากขึ้นของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ส่งสัญญาณ Hawkish มากขึ้น สอดคล้องกับ Fed Watch Tool ที่คาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกปีนี้ในเดือน ก.ย. 68 (4.50% สู่ 4.25%) จากช่วงก่อนหน้าที่คาดลดครั้งแรก ณ ก.ค.68
"ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจโลกดังกล่าว น่าจะกดดันเศรษฐกิจไทยให้โตระดับใกล้เคียง 2% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ดังหลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ และมีโอกาสเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลัง และนโยบายการเงินในอนาคต"
ทั้งนี้ ประเมินทิศทางดอกเบี้ยไทยในช่วงครึ่งหลังปี 68 มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 1 - 2 ครั้ง ราว 0.25 - 0.50% สะท้อนผ่านตราสารหนี้ไทยอายุน้อยกว่า 7 ปีที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ย
ขณะที่นโยบายการคลัง ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าน่าจะมีมาตรการกระตุ้นออกมาในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ตามการเบิกจ่ายงบประจำปี 69 ที่ยังคงกรอบเวลาเดิม หากกระบวนการของสภายังคงอยู่ และไม่มีการยุบสภาในเร็ววัน
ส่วนกำไรตลาดฯ ฝ่ายวิจัยคาดอยู่ที่เฉลี่ย 2.62 แสนล้านบาทต่อไตรมาส โดยประเมินกำไรทั้งปีไว้ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท หรือ 86 บาทต่อหุ้น (เติบโต 17% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) ซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้ และถือว่า Conservative กว่า Bloomberg Consensus
ในด้านกลุ่มอุตสาหกรรม (Sector) ที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 2 ถึง 3 ปี 68 นี้ ฝ่ายวิจัยมองว่ามักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงไตรมาสที่ 3 อาทิ กลุ่ม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (ETRON), การแพทย์ (HELTH), พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) และ ขนส่งและโลจิสติกส์ (TRANS) เป็นต้น
ขณะที่ช่วงไตรมาส 3/68 หวังแรงขายจากนักลงทุนสถาบันและทุนต่างชาติ จะเบาลงตามยอดเม็ดกองทุน LTF ที่อยู่เพียง 1.17 แสนล้านบาท (ลดลงมา 1.02 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน) และสัดส่วนต่างชาติถือหุ้นไทยทางตรงที่น้อยลงเรื่อยๆจนล่าสุดอยู่ระดับ 24.2%
ปัจจุบันดัชนี SET มี Valuation ถูก มี PBV68F ต่ำกว่า 1.0 เท่า (-2SD) ต่ำสุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก (MSCI ACWI มี PBV 3.0 เท่า) และ SET มี Dividend Yield 68F สูง 4.8% (+1SD) สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินเป้าหมายดัชนีปลายปี 68 แบบอนุรักษ์นิยม (Conservative) ภายใต้ EPS68F ที่ 86 บาทต่อหุ้น, อัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1.75% อิง MEYG 4.50% (+1 SD) ได้ดัชนีเป้าหมายปี 68 ที่ 1,376 จุด มี Upside เปิดจากระดับดัชนีในปัจจุบันที่อยู่ในช่วง 1,140 - 1,170 จุด พอสมควร
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนนั้น ฝ่ายวิจัยแนะนำหุ้นใหญ่กระจายหลายอุตสาหกรรม และมี High Dividend Yield หรือ Profit Growth 68 เติบโต อย่าง PTT, SCC, CPALL, BDMS, TRUE และ PLANB เป็นต้น