ไทยติดกับดักการเมือง อดทนรอ2ปีกว่าจะฟื้น
#ทวีสุข #กองทุน #ทันหุ้น – “ทวีสุข ธรรมศักดิ์” ซัดการเมืองไทยตามโลกไม่ทัน ชี้ต้องขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไฮเทคโนโลยี มีโอกาสเงินไหลเข้าอีกมาก แต่ยังไม่เห็นวิสัยทัศน์ ลั่นจีนยอมเจ็บเพื่อขับเคลื่อน มองเจอกับดักหลังเลือกตั้งอีก 2 ปี ด้านกองทุนมองตลาดจะตอบรับดีเมื่อยุบสภา มองหุ้นไทยต่ำแล้ว แต่ต้องรออีก 2 ปี
นายทวีสุข ธรรมศักดิ์ นักวิชาการอิสระและที่ปรึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และการลงทุนระหว่างประเทศ เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า เศรษฐกิจไทยนับจากนี้ไปจะเผชิญกับปัญหาจากกับดักทางการเมือง ซึ่งจะเป็นตัวกดดันการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการวางรากฐานถึงอนาคตของประเทศ โดยมองว่าสถานการณ์การเมืองจะกดดันเศรษฐกิจไปอีกราว 2 ปี หากประเมินตามเงื่อนไขที่มีการเสนอให้ยุบสภาภายใน 4 เดือน ยังไม่รวมการใช้เวลาในกระบวนการเลือกตั้งและหลังการเลือกจตั้งอีกหลายเดือน และคาดการณ์ว่าจะไม่มีใครได้เสียงข้างมาก ทำให้กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลและการออกนโยบายต่างๆ อาจใช้เวลากว่าหนึ่งปี
นอกจากนี้ หากพิจารณางบประมาณรายจ่าย ก็จะพบว่าไม่มีงบประมาณสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจเลย ที่สำคัญประเทศยังขาดวิสัยทัศน์ในการปฏิรูปประเทศในระยะยาวตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา รวมถึงรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ไม่มีการวางแผนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้น่าเป็นห่วง
นายทวีสุข กล่าวว่า ประเทศไทย ขาดความน่าดึงดูดใจในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาออกแบบเมืองเพื่อรองรับการท่องเที่ยว แต่เมื่อเศรษฐกิจโลกไม่โตมาก การท่องเที่ยวก็ชะงักงัน แม้กระทั่งการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับสูงจากกลุ่มประเทศอาหรับก็ลดลงเนื่องจากประเทศเหล่านั้นเปลี่ยนนโยบาย ขณะที่ภาคเอกชนเองก็ยังติดขัดในการปรับเปลี่ยนบริษัทเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ แตกต่างจากจีนที่ยอมเจ็บในอุตสาหกรรมยุคที่ 3 เช่น อสังหาริมทรัพย์และซัพพลายเชน เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรม High Technology และ Smart City ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ที่รัฐบาลไทยยังไม่มี
ด้านสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังต้องจับตาประเด็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน และจุดที่น่าจับตาคือการที่อิหร่านกับซาอุดีอาระเบียจับมือกันเพื่อต่อสู้กับกลุ่มชาวยิวที่จะมีอุดมการณ์ที่ยึดครองคงอยู่ในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ตามคัมภีร์ (ไซออนิสต์) โดยมองว่าขณะนี้เป็นเพียงความสงบชั่วคราว ขณะเดียวกันในส่วนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขอให้สีจิ้นผิงยังไม่ยึดไต้หวันในขณะที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่แผนที่ทางเดินของจีนก็คือการรวมไต้หวัน ซึ่งจะนำไปสู่สงครามในเอเชียแปซิฟิกในที่สุด
ส่วนประเด็นด้านความขัดแย้ง “กัมพูชา” กับ “ไทย” ประเมินว่าอาจจะมีปะทะกันรอบใหญ่อีกครั้งหนึ่ง และต้องระวังการตั้งฐานของมหาอำนาจในละแวกนี้ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีพลังงานและโรงกลั่น
@ แนะมุ่งเทคโนโลยี
นายทวีสุข กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เงินทุนยังคงไหลออกจากอุตสาหกรรมเก่าเข้าสู่อุตสาหกรรมใหม่ จะสังเกตในตลาดหุ้น S&P มีหุ้นเพียงประมาณ 10 กว่าตัวซึ่งเป็นเทคโนโลยี่ที่ปรับขึ้น ในขณะที่ส่วนใหญ่อีก 400 กว่าตัวไม่ได้ขึ้น คาดการณ์ว่าตลาดในอนาคตจะเคลื่อนไปสู่ สินทรัพย์ทางการเงิน (Financial Asset) ค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตเศรษฐกิจในยุคอุตสาหกรรมที่ 4 และจะมีการลงทุนกลุ่ม Private Equity ส่วนค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินนโยบาย อ่อนค่า เพราะทรัมป์ต้องการให้อเมริกากลับมาเป็นประเทศส่งออก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไฮเทค และดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะช่วยลดหนี้ของสหรัฐ ซึ่งความเสี่ยงจะตกอยู่กับประเทศที่ให้กู้ยืมแก่สหรัฐ
ดังนั้นไทยเองต้องมุ่งเน้นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ (Economic Growth) เงินทุนจะไหลไปในภาคส่วนอุตสาหกรรมยุคที่ 4 เป็นหลัก ซึ่งโลกวันนี้มีการพูดถึงการลงทุนในเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ 6G ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ยุค 6G ในอีก 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 (2573) และมีโอกาสที่จะเลื่อนจากยุค Digital Age ไปสู่ยุคของ Quantum Computing ในไม่ช้า ซึ่งจะสอดคล้องกับ 6G โดยหลายบริษัทในสหรัฐ และจีนกำลังเตรียมพร้อมรองรับอุตสาหกรรมเหล่านี้แล้ว และประเทศไทยก็จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ในด้านนี้และเชื่อมโยงกับบริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ด้วย
@ ยุบสภาเป็นเรื่องดี
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทาลิส เปิดเผยกับ “ทันหุ้น” ว่า สถานการณ์การเมืองไทยในปัจจุบันยังคงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะหนัก และความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยคาดการณ์ว่าอาจต้องใช้เวลานานถึง 8-10 เดือนกว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ เนื่องจากระยะเวลาการรักษาการของรัฐบาล 4 เดือน การหาเสียงเลือกตั้ง 1-2 เดือน และกระบวนการฟอร์มคณะรัฐมนตรีเสนอชื่ออีก 1-2 เดือน ซึ่งถือเป็นขั้นตอนที่เร็วที่สุด หากระยะเวลารักษาการยืดเยื้อออกไป อาจทำให้กระบวนการทั้งหมดนานถึง 10 เดือน ทั้งนี้การยุบสภานับเป็นทางออกที่อาจช่วยเร่งให้สถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนขึ้น และจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไป เพราะจะทำให้ภาพการเมืองเริ่มนับหนึ่งใหม่ และมองว่าจะมีการแข่งขันแก้ไขปัญหาประเทศที่สะสมมานานกว่า 10-20 ปี
ด้านเศรษฐกิจ การส่งออก ซึ่งเป็นปัจจัยบวกในช่วงต้นปีจากการกักตุนสินค้าในสหรัฐอเมริกา อาจได้รับผลกระทบใน 6-12 เดือนข้างหน้า เมื่อการกักตุนสินค้านี้เริ่มหมดไป อย่างไรก็ดีหุ้นไทยถูกแล้ว โดยมี P/Book อยู่ที่ 1.2 เท่า อยู่ในระดับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่เคยลงไปถึง 1 เท่า แต่ต้องใช้เวลา 1-2 ปีในการสร้างฐาน แม้ตลาดหุ้นจะอยู่ในโซนที่น่าสนใจ แต่การลงทุนในช่วงนี้ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก น่าจะต้องใช้เวลา 1-2 ปีในการสร้างฐาน คล้ายกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ใช้เวลาหลายปีในการปรับฐานและ 2 ปีในการสร้างฐานก่อนฟื้นตัว