‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก’ ล่มอีก ประเทศผลิตปิโตรเลียมไม่เห็นด้วยให้ลดผลิตพลาสติก
ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลครั้งที่ 5.2 หรือ INC-5.2 ณ สำนักงานสหประชาชาติในเจนีวา เพื่อพยายามทำให้ “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขวิกฤติมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก แม้จะประชุมกันอย่างยาวนานถึง 11 วัน แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ ทั้งที่ตั้งใจให้การเจรจารอบนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ต่างผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ว่า สนธิสัญญาควรลดการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีพิษที่ใช้ในการผลิตพลาสติกทั่วโลก ให้มีผลผูกพันทางกฎหมายหรือไม่
ผู้แทนจากนอร์เวย์ ออสเตรเลีย ตูวาลู และประเทศอื่น ๆ กล่าวว่า พวกเขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ออกจากเจนีวาโดยไม่มีสนธิสัญญา
“เราเดินทางมาเจนีวา เพื่อบรรลุสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก เพราะเรารู้ว่าเดิมพันนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับไหว” เจสสิกา รอสวอลล์ กรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม การฟื้นคืนแหล่งน้ำ และเศรษฐกิจหมุนเวียนเชิงแข่งขัน กล่าวในโพสต์บนโซเชียลมีเดีย พร้อมเสริมว่าสหภาพยุโรปจะยังคงผลักดันให้เกิดข้อตกลงที่มีผลผูกพันและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ขณะที่ อักแนส ปานิเยร์-รูนาเช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเปลี่ยนผ่านทางนิเวศวิทยาของฝรั่งเศส กล่าว “ดิฉันรู้สึกผิดหวังและโกรธ ประเทศไม่กี่ประเทศที่ยึดถือผลประโยชน์ทางการเงินระยะสั้น มากกว่าสุขภาพของประชาชนและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ พวกเขาขัดขวางการรับรองสนธิสัญญาที่ท้าทายและมุ่งเป้าไปที่มลพิษจากพลาสติก ทั้งที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์มากมายมหาศาลที่ระบุว่า พลาสติกฆ่าคน เป็นพิษต่อมหาสมุทร ดิน และท้ายที่สุดก็ปนเปื้อนร่างกายของเรา”
ในการประชุม มีผู้แทนจาก 100 ประเทศจากทุกทวีป ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกประเทศเห็นตรงกันว่า ควรรลดการผลิตพลาสติก และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีในการผลิตพลาสติก แต่ผู้เจรจาของซาอุดีอาระเบียและคูเวตกล่าวว่า ข้อเสนอล่าสุดนี้คำนึงถึงมุมมองของประเทศอื่น ๆ มากกว่า และกล่าวถึงการผลิตพลาสติกเป็นประเด็นอยู่นอกเหนือขอบเขตของสนธิสัญญา
เมื่อมีประเทศที่ไม่เห็นด้วย ประเด็นเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำไปอยู่ในสนธิสัญญาได้ เนื่องจากทุกประเทศจะต้องเห็นชอบกับทุกข้อเสนอ ทำให้การประชุมครั้งนี้ล้มเหลว เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ ในปี 2024
หลุยส์ วายาส วัลดิวิเอโซ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้เขียนและนำเสนอร่างสนธิสัญญาสองฉบับ ณ กรุงเจนีวา โดยอ้างอิงจากความคิดเห็นของประเทศต่าง ๆ ในการเจรจา
ร่างดังกล่าว ไม่ได้ระบุข้อจำกัดเกี่ยวกับการผลิตพลาสติก แต่ยอมรับว่าระดับการผลิตและการบริโภคในปัจจุบันนั้น “ไม่ยั่งยืน” และจำเป็นต้องมีการดำเนินการทั่วโลก พร้อมมีข้อความใหม่เพิ่มเติมระบุว่า ระดับการใช้พลาสติกในปัจจุบันเกินขีดความสามารถในการจัดการขยะแล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก “จึงจำเป็นต้องมีการตอบสนองจากทั่วโลกอย่างสอดประสานกันเพื่อหยุดยั้งและแก้ไขแนวโน้มดังกล่าว”
วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาได้รับการปรับปรุงใหม่ ระบุว่าความตกลงจะตั้งอยู่บนแนวทางที่ครอบคลุมวงจรชีวิตของพลาสติกทั้งหมด โดยกล่าวถึงการลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มี “สารเคมีหรือสารเคมีที่ก่อให้เกิดความกังวลต่อสุขภาพของมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อม” รวมถึงการลดการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวหรือผลิตภัณฑ์พลาสติกอายุสั้น
เมื่อตกลงกันไม่ได้ ประธานคณะกรรมการเจรจาระหว่างประเทศจึงเคาะค้อนปิดการประชุม พร้อมระบุว่า การประชุมถูกเลื่อนออกไปและจะกลับมาประชุมอีกครั้งในภายหลัง
เดวิด อาซูเลย์ ผู้อำนวยการโครงการด้านสุขภาพและหัวหน้าคณะผู้แทนศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ กล่าวในแถลงการณ์ว่า การเจรจาครั้งนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
“ในช่วงสุดท้ายของการเจรจา เราได้เห็นอย่างชัดเจนในสิ่งที่พวกเราหลายคนรู้กันมานานแล้วว่า บางประเทศไม่ได้มาที่นี่เพื่อสรุปข้อความ แต่พวกเขามาที่นี่เพื่อทำสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือ ขัดขวางความพยายามใด ๆ ที่จะผลักดันสนธิสัญญาที่มีผลบังคับใช้” อาซูเลย์กล่าว
พร้อมระบุว่า ไม่มีทางจะทำให้คนที่พยายามปกป้องสถานะของตัวเอง หันมาเห็นพ้องกับคนส่วนใหญ่ที่ต้องการสนธิสัญญาที่ใช้งานได้จริงและสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในระยะยาวได้
ประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมและพลาสติกอย่างเช่น อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน คูเวต และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในสนธิสัญญา ระบุว่า จำเป็นต้องใช้ฉันทามติ โดยทุกประเทศต้องเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะจะทำให้สนธิสัญญาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดแต่ในเมื่อเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกประเทศเห็นตรงกัน บางประเทศจึงต้องการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเป็นการใช้เสียงส่วนใหญ่แทน ถ้าจำเป็น
ศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ยังพบว่า มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ 234 คนจากอุตสาหกรรมน้ำมัน ปิโตรเคมี และพลาสติก เข้าร่วมการเจรจาในครั้งนี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศรวมกัน และมากกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมกับคณะผู้แทนนักวิทยาศาสตร์และชนพื้นเมืองอย่างมาก
นอกจากนี้ การสืบสวนยังพบอีกว่า มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ 19 คน เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนระดับชาติจากอียิปต์ คาซัคสถาน จีน อิหร่าน ชิลี และสาธารณรัฐโดมินิกัน
“เรามีหลักฐานมานานหลายทศวรรษที่แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและเคมีภัณฑ์ นั่นคือ ปฏิเสธ เบี่ยงเบน และขัดขวาง บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นศูนย์กลางการผลิตพลาสติก เนื่องจากพลาสติกกว่า 99%มาจากสารเคมีที่มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล หลังจากอุปสรรคในการเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศมานานหลายทศวรรษ ทำไมใคร ๆ ถึงคิดว่าพวกเขาจะปรากฏตัวอย่างจริงใจในการเจรจาสนธิสัญญาพลาสติก” ซิเมน่า บาเนกัส ผู้รณรงค์รณรงค์ด้านพลาสติกและปิโตรเคมีระดับโลกของ CIEL กล่าว
เกรแฮม ฟอร์บส์ หัวหน้าคณะผู้แทนกรีนพีซประจำเจนีวา เรียกร้องให้ผู้แทนไปใช้การลงคะแนนแบบเสียงส่วนใหญ่แทน โดยกล่าวว่า “เรากำลังวนเวียน เราไม่สามารถทำสิ่งเดิม ๆ แล้วคาดหวังผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปได้”
เป็นไปในทางเดียวกับความเห็นของอาซูเลย์ที่ระบุว่า แม้การเจรจาจะดำเนินต่อไป แต่ก็จะล้มเหลวอีกครั้งหากยังไม่สามารถหาทางออกได้ และกระบวนการไม่เปลี่ยนแปลง
“เราต้องการการเริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่การทำซ้ำ ประเทศที่ต้องการสนธิสัญญาต้องออกจากกระบวนการนี้และจัดตั้งสนธิสัญญาโดยสมัครใจ และกระบวนการนี้ต้องมีตัวเลือกสำหรับการลงคะแนนเสียงที่ปฏิเสธอำนาจเผด็จการโดยฉันทามติที่เราได้เห็นกันมา”