TDRI ถอดบทเรียนฟื้น 'การบินไทย' เตือนรัฐหยุดแทรกแซงรัฐวิสาหกิจ
ดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เปิดเผยในรายการ “คิดยกกำลัง 2” เมื่อวันที่ 11 ส.ค.ที่ผ่านมา ถอดบทเรียนปัจจัยสำคัญอย่างการปรับโครงสร้างองค์กร จนนำมาสู่การพลิกฟื้นของการบินไทย โดยระบุว่า การฟื้นตัวของการบินไทยสร้างความหวังให้กับประเทศ เพราะกรณีการบินไทยแสดงให้เห็นว่าเรื่องดีๆ สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรที่เคยประสบปัญหาอย่างหนักสามารถกลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องให้เครดิตกับคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูการบินไทย
ขณะที่ปัญหาของการบินไทยมีมาก่อนโควิด-19 ด้วยซ้ำ โควิด-19 เป็นเพียงฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งวิกฤตมากขึ้น แต่รากของปัญหาจริงๆ คือความเป็นรัฐวิสาหกิจ เพราะการเป็นรัฐวิสาหกิจที่กลายเป็นสายการบินแห่งชาติ ทำให้การปรับตัวช้ามาก มีกฎระเบียบที่อุ้ยอ้าย การเมืองเข้ามาแทรกแซงได้ง่าย จนเกิดปัญหาหลายอย่างตามมา เช่น การจัดซื้อจัดจ้างที่ไม่เหมาะสม ซื้อของแพง ซื้อเครื่องบินก็มากมายหลายรุ่นจนบริหารจัดการยากมาก
อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนโควิด-19 การบินไทยมีเครื่องบินถึง 7 รุ่น และมีเครื่องยนต์ถึง 9 แบบ ซึ่งทำให้การฝึกนักบินและการซ่อมบำรุงเป็นไปอย่างยากลำบาก และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าปกติ นอกจากนี้ การเป็นรัฐวิสาหกิจยังทำให้การเลิกจ้างพนักงานเป็นเรื่องที่ยากมากตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้องค์กรมีทั้งคนทำงานดี และคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำงานปะปนกันไป สิ่งเหล่านี้คือปัญหาเชิงโครงสร้างขององค์กร
ดร.สมเกียรติ กล่าวด้วยว่า การบินไทยมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในหลายด้าน สิ่งสำคัญที่ทำจนรอดมาได้มี 2 เรื่องหลักๆ คือ
1. การปรับโครงสร้างทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการยืดหนี้ การแปลงหนี้บางส่วนให้กลายเป็นเงินทุน หรือการขายทรัพย์สินต่างๆ เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง
และ 2. การปรับโครงสร้างองค์กร คือการปรับองค์กรให้มีขนาดที่เหมาะสม เพรียวขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้โดยสารมากขึ้น และมีการปรับปรุงการจัดซื้อจัดจ้าง โดยเฉพาะการซื้อเครื่องบินที่ไม่มีนายหน้าอีกต่อไป นอกจากนี้ยังมีการปรับแผนธุรกิจและออกแบบเส้นทางบินให้ตอบสนองความต้องการของตลาดจริงจังมากขึ้นด้วย
“ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าการบินไทยยังคงสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจที่รัฐบาลถือหุ้นเกินครึ่ง ข้อดีในวิกฤตครั้งนี้คือรัฐบาลลดการถือหุ้นลง ซึ่งทำให้การบินไทยมีความคล่องตัวและสามารถนำไปสู่การปฏิรูปองค์กรได้ทั้งหมดอย่างที่เห็น”
ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบการดำเนินงานของสายการบินชั้นนำอย่างสิงคโปร์แอร์ไลน์ จะพบว่ากรรมการส่วนใหญ่มาจากธุรกิจชั้นนำ ผู้บริหารธุรกิจข้ามชาติ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและกฎหมาย ซึ่งแต่ละคนสามารถเข้ามาเติมเต็มการบริหารจัดการได้อย่างแท้จริง ในขณะที่การบินไทยเคยมีกรรมการบางท่านเป็นข้าราชการ ซึ่งอาจมาในฐานะตัวแทนของผู้ถือหุ้นอย่างกระทรวงการคลังหรือกระทรวงคมนาคม แต่คุณสมบัติเหล่านี้อาจไม่เหมาะสมกับการแข่งขันในธุรกิจการบินที่ดุเดือด
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวมองว่าโจทย์ของหลายๆ ภาคส่วนในประเทศคล้ายคลึงกับการบินไทย คือโครงสร้างองค์กรที่ไม่คล่องตัว มีกฎระเบียบจากการเป็นรัฐวิสาหกิจเข้ามาทำให้แข่งขันยาก ดังนั้นการที่การบินไทยฟื้นฟูได้ จึงเป็นสัญญาณบวกว่าประเทศไทยก็สามารถฟื้นฟูได้เช่นกัน แต่ข้อความสำคัญคือ ต้องบริหารจัดการและกำกับดูแลให้ดี และต้องยอมรับว่ากฎกติกาและวิธีการทำงานของภาครัฐบางครั้งไปฉุดรั้งการพัฒนาของสังคมไทย
“การบินไทยไม่ควรกลับไปเป็นรัฐวิสาหกิจ และผมคิดว่าภาครัฐควรนำบทเรียนนี้ไปปรับใช้ในการวางบทบาทของตัวเองให้เหมาะสม คือไม่เข้าไปแทรกแซงการทำธุรกิจมากเกินไป แก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค และนำทรัพยากรของรัฐไปช่วยสนับสนุนเอกชนและสังคมแทน”
ทั้งนี้ บทบาทของการบินไทยหลังจากนี้ ควรเป็นเพียง “สายการบินประจำชาติ” (National Fact Carrier) ที่คนในชาติภาคภูมิใจ ไม่ใช่ “สายการบินแห่งชาติ” (National Airline) ที่รัฐบาลต้องถือหุ้นและเข้ามาบริหารจัดการ ซึ่งบทบาทแบบนี้จะทำให้องค์กรมีความคล่องตัวและเติบโตได้อย่างยั่งยืน และแน่นอนว่าจากบทเรียนของการบินไทย ทำให้เห็นแล้วว่า ประเทศไทยยังมีพลังอีกเยอะที่คนต่างประเทศชื่นชม ต้องเอาพลังเหล่านี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เหมือนกับการบินไทยที่สามารถกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง