รู้จัก De-stress Economy 'เศรษฐกิจแห่งความสบายใจ' รับยุคโลกเครียด
“ความเครียด” กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่หลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะในโลกของการทำงานหนักและการใช้ชีวิตที่เร่งรีบขึ้นทุกวัน ปัญหาสุขภาพจิตจากความเครียด ไม่เพียงส่งผลกระทบในระดับบุคคล แต่ยังส่งผลลึกซึ้งไปถึงเศรษฐกิจโลก
ข้อมูลจาก World Economic Forum (WEF) และ Harvard School of Public Health คาดการณ์ว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจิตทั่วโลกจะเพิ่มสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 และยังเสี่ยงต่อการสูญเสียวันทำงานถึง 12,000 ล้านวันทุกปี จากภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล การเติบโตของความเครียดในสังคมจึงกลายเป็นปัญหาที่ทุกประเทศต้องรับมือและเร่งหาทางแก้ไข
โลกที่เคร่งเครียดเช่นนี้ทำให้ “Well-being Economy” หรือระบบเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพจิต ความเสมอภาคทางสังคม การรักษาสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน ถูกนำกลับมาพูดถึงอีกครั้ง หลายประเทศทั่วโลกได้เริ่มนำแนวคิดนี้มาใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
- “นิวซีแลนด์” ใช้ Living Standards Framework (LSF) เพื่อประเมินและจัดสรรงบประมาณตามมิติของสุขภาพ การศึกษา และความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
- “ฟินแลนด์” ใช้ Well-being Index เพื่อติดตามความสุขและการเข้าถึงบริการพื้นฐานอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท
- “ไอซ์แลนด์” ใช้Well-being Indicator เพื่อติดตามคุณภาพชีวิตผ่านมุมมองเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการพลังงานทดแทนที่ยั่งยืนทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการพัฒนาเศรษฐกิจที่ไม่เพียงแต่เติบโตทางการเงิน แต่ยังคำนึงถึงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนด้วย
คนทั่วโลกเริ่มหาวิธีลดเครียดมากขึ้น และ “Wellness Tourism” ก็กลายเป็นหนึ่งในแนวทางที่ตอบสนองความต้องการนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมและธรรมชาติอันสมบูรณ์ ถือเป็นโลเคชั่นหลักที่คนมักนึกถึง
การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพในปี 2022 มีมูลค่าตลาดราว 814.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีสูงถึง 12.42% สะท้อนถึงการเติบโตของตลาดนี้
อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพไม่ใช่ทางเลือกเดียวในการลดความเครียด ยังมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สามารถช่วยจัดการกับความเครียดได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งทำให้แนวคิดของ“De-stress Economy” แตกยอดออกมา
“ฮ่องกง” เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่นำ De-stress Economy มาใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยวและลดความเครียดให้กับประชาชน ผ่านแคมเปญ “Night Vibes Hong Kong” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นกิจกรรมยามค่ำคืน เช่น การเดินทางฟรีบน MTR หลัง 22.30 น. การลดราคาค่าตั๋วชมภาพยนตร์รอบดึก และการเปิดให้เข้าชมสนามแข่งม้า Happy Valley ฟรีในคืนวันพุธ เพื่อให้ผู้คนได้มีโอกาสผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตประจำวัน
แม้จะมีเสียงวิพากย์วิจารณ์ว่าแคมเปญนี้ยังเล็กและไม่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือกระตุ้นให้คนในพื้นที่เข้าร่วมกิจกรรมได้มากพอตามเป้า แต่อย่างน้อยแคมเปญนี้ได้สะท้อนถึงความพยายามของฮ่องกงในการใช้ De-stress Economy เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจและเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน
“ภาคใต้ของไทย” ก็มีศักยภาพสูงในการส่งเสริม De-stress Economy ด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ทั้งเขา ป่า นา เล และนักสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพ สามารถนำมาเป็นจุดขายสำคัญในการพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพและการลดความเครียดการจัดกลุ่มเมือง 14 จังหวัดภาคใต้ตาม Emotional Value Proposition หรือ คุณค่าทางอารมณ์ จะช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจที่มีเอกลักษณ์และสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก ตัวอย่างเช่น
- นครศรีธรรมราช เหมาะสำหรับการลงทุนด้าน Spiritual Wellness & Retreat รวมถึงกิจกรรมคราฟต์ร่วมสมัย ซึ่งสามารถเชื่อมโยงภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับประสบการณ์ที่ลึกซึ้ง
- พังงา จุดหมายใหม่ของWellness Economic Corridor ฝั่งอันดามัน ด้วยภูมิประเทศที่เอื้อต่อธุรกิจ Medical & Wellness Tourism ที่มีบริการครบครัน ทั้งสปา โยคะ เสียงบำบัด และสมุนไพร
- ยะลา ศูนย์กลางแฟชั่นมุสลิม (Hub for Muslim Fashion) ที่มีอุตสาหกรรมสิ่งทอมุสลิมครบวงจร พร้อมต่อยอดสู่การสร้างแบรนด์แฟชั่นมลายูและสินค้าแฟชั่นที่ผสานเทคโนโลยี (Fashion-Tech Items) เพื่อส่งออกสู่ตลาดมุสลิมระดับภูมิภาค
เทศกาลงานออกแบบปักษ์ใต้ 2568 หรือ Pakk Taii Design Week 2025 (PTDW2025) ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ส.ค. - 7 ก.ย.68 ณ เมืองเก่าสงขลาและหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาจะเป็นเวทีแรกในการนำเสนอแนวคิด “De-stress Economy” พร้อมนิทรรศการ “South De-Stress: ไขกุญแจเศรษฐกิจแห่งความสบายใจ” ที่จะพาทุกคนร่วมสำรวจศักยภาพของ 14 จังหวัดภาคใต้ ที่มีทั้งวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สถาปัตยกรรม และภูมิประเทศเฉพาะถิ่น โดยมุ่งต่อยอดสู่โอกาสทางธุรกิจที่มีเอกลักษณ์ สามารถแข่งขันในตลาดโลก และเติบโตได้อย่างยั่งยืน