จากเกม สู่ความเป็นจริง Squid Game เกมเอาตัวรอดที่สะท้อนความโหดร้ายในสังคมเกาหลี
จบลงไปแล้ว กับซีรีส์เกาหลีไตรภาค Squid Game เกมปลาหมึกที่ทำให้หลายๆ คนได้ลุ้นตลอดตั้งแต่ตอนแรก ยันตอนสุดท้าย ไปกับเกมเอาตัวรอด และตัวละครที่เราอยากเชียร์
แม้ว่าตอนจบจะทั้งถูกใจ หรือไม่ถูกใจหลายๆ คน ที่ผิดหวังกับการปิดฉากสุดท้ายของเกม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ซีรีส์เรื่องนี้ ทำให้วงการบันเทิงเกาหลีเป็นที่โด่งดังไปทั่วโลก และไม่เพียงเท่านั้น ชาวเกาหลีเองต่างก็บอกว่า ภาพ เหตุการณ์ และตัวละครต่างๆ ต่างสะท้อนสังคมจริงของเกาหลี ที่โหดร้ายไม่แพ้กับในซีรีส์เลยด้วย
Squid Game กับความเป็นจริงในสังคมเกาหลี
Squid Game เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงการแข่งขัน แย่งชิง เข้าร่วมเกมด้วยความสิ้นหวัง และถึงขั้นต้องฆ่าคนด้วยกันเพื่อเงินรางวัล ซึ่งชาวเกาหลีมองว่า การแข่งขันที่ดุเดือดในเกมนั้น รุนแรงไม่แพ้กับในสังคมเกาหลีใต้ รวมไปถึงภาพความเหลื่อมล้ำ การดำเนินชีวิตที่เคร่งเครียดทั้งการหางาน และการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ต่างเป็นช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ที่ไม่มีช่องว่างให้ล้มเหลว
ในซีรีส์ที่ว่าเครียดแล้ว ในชีวิตจริงคนเกาหลีก็เครียดกับการใช้ชีวิตไม่ต่างกัน ความรู้สึกสิ้นหวังของผู้เข้าแข่งขันสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันที่ชาวเกาหลีใต้จำนวนมากเผชิญ ซึ่งพบว่าตนเองติดอยู่ในวังวนของหนี้สินและความยากจน สถิติในชีวิตจริงเน้นย้ำให้เห็นถึงความรุนแรงของปัญหานี้ ทั้งอัตราการว่างงานของเยาวชนในเกาหลีใต้สูง และคนหนุ่มสาวจำนวนมากต้องแบกรับภาระเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา และค่าที่อยู่อาศัยในกรุงโซลที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
ความเครียดเหล่านี้ ก็เห็นได้จากการสำรวจในปี 2024 ของศูนย์สุขภาพจิตแห่งชาติระบุว่า ชาวเกาหลีใต้ 7 ใน 10 ประสบปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งรวมถึงความเครียดและอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง ทั้งในปี 2022 สำนักข่าว BBC ยังรายงานว่า คนเกาหลีมีปัญหาการนอนไม่หลับมากที่สุดในโลก และเชื่อว่ามีคนกว่า 1 แสนคนที่ต้องพึ่งพายานอนหลับ ทั้งตลอดระยะเวลา 20 ปี จากสถิติในปี 2022 นั้น ยังแสดงว่า เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีอัตราการปลิดชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) ด้วย
และแม้ว่าเกาหลีใต้จะขึ้นชื่อเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่ฟื้นจากประเทศยากจน และมีสงคราม โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นข้างเคียงคือช่องว่างของรายได้ แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะประสบความสำเร็จ แต่ความร่ำรวยกระจุกอยู่ที่เหล่าแชโบล หรือนายทุนใหญ่ๆ ไม่กี่บริษัทซึ่งครอบงำภาคส่วนต่างๆ เช่น เทคโนโลยี ยานยนต์ และก่อสร้าง
มีการพูดถึงสะท้อนภาพในซีรีส์ ที่เทียบออกมาว่าประชาชนชาวเกาหลีที่เผชิญกับความเครียดในเกมต่างเป็นเหมือนเหล่าผู้เล่นใน Squid game ขณะที่ VIP ที่ดูการเล่มเกมอย่างเพลิดเพลินนั้น เป็นนายทุน และแชโบลด้วย
อีกทั้งตัวละครหลากหลายตัวใน Squid Game ทั้งพนักงานเงินเดือน ผู้อพยพที่เป็นคนงานในโรงงาน นักต้มตุ๋นคริปโตเคอเรนซี หญิงข้ามเพศ สาวที่ตั้งครรภ์อย่างไม่ได้ตั้งใจ ล้วนได้รับแรงบันดาลใจมาจากตัวละครที่ชาวเกาหลีใต้คุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะตัวละครหลักอย่าง ซอง กีฮุน ซึ่งเป็นพนักงานในโรงงานผลิตรถยนต์ที่ถูกเลิกจ้าง และหยุดงานประท้วงนั้น ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง
จากการหยุดงานประท้วงของโรงงานซันยองมอเตอร์ (SsangYong Motor) ในปี 2009 ซึ่งคนงานที่ถูกเลิกจ้าง ได้นั่งประท้วงถึง 77 วัน ก่อนจะเจอกับการปราบปรามที่โหดร้ายที่สุดครั้งนึงในประวัติศาสตร์การประท้วงแรงงาน ที่ตำรวจใช้ทั้งกระสุนยาง ปืนไฟฟ้า และจบลงที่คนงานจำนวนมากสูญเสียทางทำมาหากิน พนักงาน รวมถึงสมาชิกครอบครัวมากกว่า 40 คนเสียชีวิต หลายคนฆ่าตัวตายจาก ความยากลําบากทางเศรษฐกิจและการกีดกันทางสังคม
ซึ่งเบื้องหลังตัวละครเหล่านี้ ที่สอดแทรกมาในซีรีส์ที่ดูกึ่งแฟนตาซี และดิสโทเปียนี้ ทำให้ชาวเกาหลีจำนวนมากมีความรู้สึกคุ้นเคย และยิ่งรู้สึกว่ามันสมจริง แม้จะเป็นซีรีส์ที่เกิดจากเรื่องแต่ง “แรงงานที่ไม่มั่นคง การว่างงานของเยาวชน ครอบครัวที่แตกแยก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่กลไกในการวางแผน แต่เป็นการต่อสู้ดิ้นรนที่เราต้องเผชิญทุกวัน” หนึ่งในชาวเกาหลีใต้ ให้สัมภาษณ์ถึงซีรีส์เรื่องนี้ ชุนแทฮยอน นักศึกษามหาวิทยาลัยยังให้สัมภาษณ์กับ BBC ถึงความรู้สึกจริงในซีรีส์ว่า
เขาเห็นใจผู้เล่นที่นำเงินออมไปเสี่ยงหรือสูญเสียไปกับการลงทุนที่ผิดพลาด เพราะเป็นภาพจริงที่ปัจจุบัน “คนเกาหลีกำลังละทิ้งงานที่มั่นคงแบบดั้งเดิมและยอมเสี่ยง” และ “ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ดีที่ ‘Squid Game’ แสดงให้เห็นอีกด้านหนึ่งของเกาหลีใต้ นอกเหนือจากความสมบูรณ์แบบของ K-pop”
ซึ่งความสมจริงเหล่านี้ ต่างก็เป็นความตั้งใจของฮวังดงฮยอก ผู้สร้างซีรีส์ที่เคยกล่าวไว้ว่า ต้องการให้ซีรีส์สะท้อนสถานการณ์ในปัจจุบันเพราะ “โลกกำลังก้าวไปสู่ความสุดโต่งมากยิ่งขึ้น ทั้งเขายังให้สัมภาษณ์ว่า ไอเดียต่างๆ และพล็อตของซีรีส์ เกิดขึ้นจากการที่เขาสังเกตว่าความแตกต่างระหว่าง "ผู้ชนะ" และ "ผู้แพ้" ในทศวรรษ 2010 นั้นชัดเจนยิ่งขึ้น
ตอนจบที่ไม่สมหวัง แต่ตั้งคำถามถึงความเป็นมนุษย์
แม้หลายคนจะวิพากษ์วิจารณ์ และแสดงความผิดหวังกับตอนจบของซีรีส์เรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่อี จองแจ นักแสดงนำที่รับบทกีฮุนมองว่าซีรีส์เรื่องนี้จบลงแบบ “ไม่มีจุดจบ” และ “ซีรีส์เรื่องนี้สร้างคำถามมากมายให้กับผู้ชม ฉันหวังว่าผู้คนจะพูดถึงคำถามเหล่านั้น ไตร่ตรอง และพยายามหาคำตอบ”
ในซีซัน 2-3 ผู้ชมได้ติดตามภารกิจของกีฮุนที่มุ่งโค่นล้มเกมอันโหดร้ายที่ถูกจัดขึ้นเป็นความบันเทิงสำหรับกลุ่ม VIP ผู้มั่งคั่ง ทว่าความพยายามของเขาล้มเหลว และในที่สุดกีฮุนต้องเสียสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยลูกของผู้เล่นอีกคน ซึ่งตอนจบนี้ ทำให้ผู้ชมบางคนมองว่าการเสียสละของเขาไม่สอดคล้องกับโทนมืดหม่นและความเป็นจริงอันโหดร้ายที่ซีรีส์พยายามถ่ายทอด “ความเสียสละที่มากเกินไปของตัวละครนั้นน่ารำคาญ เกือบจะถึงจุดที่ดูเหมือนจะเสียสติ” ความคิดเห็นหนึ่งบนเว็บบอร์ดยอดนิยม Nate Pann ระบุ “มันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นการแสดงความเมตตาแบบปลอมๆ ที่สนใจคนแปลกหน้ามากกว่าครอบครัวตัวเองโดยไม่มีเหตุผลที่แท้จริง”
ถึงอย่างนั้น ผู้ชมบางส่วนกลับเห็นว่าจุดจบนี้สะท้อนจิตวิญญาณของเรื่องได้อย่างชัดเจน “สิ่งนี้บรรยายถึงมนุษยชาติและข้อความของซีรีส์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” ความคิดเห็นหนึ่งระบุ “แม้ว่าเราอยากเห็นกีฮุนชนะ ฆ่า Front man ผู้ดูแลเกม และ VIP และหยุดเกมทั้งหมด แล้วจากไปอย่างสงบ แต่โลกนี้ไม่ใช่โลกที่เราอาศัยอยู่ และแน่นอนว่าไม่ใช่โลกที่กีฮุนอาศัยอยู่”
ฮวัง ดงฮยอก ผู้สร้างซีรีส์เองก็ยอมรับว่าเขาเข้าใจปฏิกิริยาที่หลากหลายต่อบทสรุปของเรื่อง “ในซีซั่นแรก ผู้คนไม่มีความคาดหวังใดๆ ดังนั้นความตกตะลึงและความสดใหม่จึงได้ผล แต่เมื่อถึงซีซั่นที่สองและสาม ความคาดหวังก็สูงลิ่ว และนั่นทำให้ทุกอย่างแตกต่างออกไป” เขากล่าว “แฟนซีรีส์ต้องการเกมเพิ่มเติม บางคนต้องการข้อความที่ลึกซึ้งกว่านี้ และบางคนก็ลงทุนกับตัวละครมากขึ้น ทุกคนคาดหวังอะไรที่แตกต่างกัน”
สำหรับผู้ชมบางคน การตัดสินใจของกีฮุนกลับเป็นภาพแทนความหวังในความเป็นมนุษย์ “ความขัดแย้งระหว่างความโหดร้ายและความอบอุ่นที่แฝงอยู่ร่วมกันเป็นสิ่งที่ทำให้ตอนจบของหนังเรื่องนี้กินใจมาก” คุณจอง นักเขียนบล็อกภาพยนตร์กล่าว “การได้ชม Squid Game ทำให้ผมได้ไตร่ตรองถึงตัวเอง ในฐานะคนที่เคยทำงานด้านการศึกษาและการให้คำปรึกษา ผมเคยตั้งคำถามว่าความเมตตาสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริงหรือไม่ นั่นคือเหตุผลที่ผมยังคงติดตามเรื่องนี้อยู่ และเหตุผลที่ผมเรียกตอนจบนี้ว่าสวยงาม”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- Squid Game 3 แรงไม่หยุด! ขึ้นอันดับ 1 บน Netflix ทั่วโลก ยอดรับชมทะลุ 300 ล้านชั่วโมงใน 3 วัน
- Squid Game 3 จบไม่ประทับใจ สื่อต่างประเทศบางส่วนพากันวิจารณ์หนัก
- “โกโกวา” กับแฟนหนุ่ม “ซอลซู” บุกกรุง ชวนคนไทยเล่นเกมกระโดดเชือก ลานคนเมือง เสาชิงช้า
- แรงต่อเนื่อง "สงคราม ส่งด่วน" ซีรีส์สุดเดือด ยังยึดอันดับ 1 ในไทย และครองอันดับ 4 ซีรีส์ภาษาต่างประเทศที่มีผู้ชมสูงสุดทั่วโลก
- ปักรอซีรีส์ Netflix เรื่องดังเตรียมฉายปี 2025 นี้ : Alice in Borderland 3, Squid Game 3, Wednesday 2, Stranger Things 5