"แพทองธาร" เดิมพันความมั่นคง! เว้นเก้าอี้กลาโหม 3 เดือน รอ "บิ๊กแก้ว"
หลังการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ในชื่อ “แพทองธาร 2” หรือ “ครม.แพทองธาร 1/2” ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง โดยเฉพาะการเว้นว่างตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ท่ามกลางสถานการณ์ความมั่นคงที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ความไม่สงบในภาคใต้ หรือแม้แต่แรงกระเพื่อมในสังคมไทยเอง
หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า “ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นนี้ อาจไม่ใช่เพราะขาดบุคลากร หรือความขัดแย้งภายใน แต่เป็น “การรอ” บุคคลเพียงคนเดียวคือพล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ หรือ “บิ๊กแก้ว” อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด
คำถามสำคัญคือ การปล่อยให้เก้าอี้สำคัญด้านความมั่นคงระดับชาติ “ว่าง” เพื่อรอบุคคลเพียงหนึ่งเดียว สมเหตุสมผลเพียงใด? หรือแท้จริงแล้ว นี่คือการเดิมพันเชิงกลยุทธ์ทางการเมืองที่อาจมีต้นทุนมหาศาลต่อความมั่นคงของประเทศ?
การเว้นวรรคที่มีเป้าหมายรอ"บิ๊กแก้ว"
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลและนักวิเคราะห์ในแวดวงการเมืองต่างเห็นตรงกันว่า การไม่แต่งตั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในคราวนี้ “เพื่อรอ” พล.อ.เฉลิมพล ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญว่าอดีต ส.ว. ต้องเว้นวรรค 2 ปี ก่อนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี
โดยพล.อ.เฉลิมพล พ้นจากตำแหน่ง ส.ว. เมื่อ 30 ก.ย. 2566 จึงจะรับตำแหน่งรัฐมนตรีได้หลัง 30 ก.ย. 2568 หรืออีกประมาณ 3 เดือนจากนี้
การตัดสินใจเว้นเก้ารัฐมนตรีกลาโหมในครั้งนี้ จึงไม่ใช่เพราะไม่มีคนเหมาะสม แต่เพราะรัฐบาลต้องการคนๆ นี้ โดยเฉพาะ
พล.อ.เฉลิมพล คือใคร? ทำไมรัฐบาลต้องรอ?
พล.อ.เฉลิมพล เป็นนายทหารอาชีพที่มีโปรไฟล์ “ไร้มลทิน” และได้รับการยอมรับจากทั้งในและนอกกองทัพ เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ทสส. (ผู้บัญชาการทหารสูงสุด) ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในสายงานทหาร และที่สำคัญคือ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่ม “นายทหารคอแดง” หรือทหารที่มีแนวโน้มสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและรัฐบาลพลเรือน
รัฐบาลอาจมองว่า การดึง พล.อ.เฉลิมพล เข้ามาร่วม ครม. จะเป็นการ ส่งสัญญาณเชิงบวกต่อกองทัพ และลดแรงเสียดทานระหว่างฝ่ายการเมืองกับกองทัพที่สะสมมานาน รวมถึงเพิ่มความเชื่อมั่นให้ประชาชนว่า “กลาโหมอยู่ในการกำกับของมืออาชีพ”
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์: แค่รักษาการ หรือแผนสำรอง?
ในช่วงที่ตำแหน่ง รมว.กลาโหมยังว่างเปล่า มีการระบุว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมจะทำหน้าที่รักษาการในช่วงเปลี่ยนผ่าน
แต่บทบาท “รักษาการ” ที่ไม่มีอำนาจเต็มในภาวะปกติ ยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถ บริหารจัดการด้านความมั่นคงที่กำลังร้อนแรง ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ โดยเฉพาะหากเกิดวิกฤตไม่คาดฝันในช่วง 3 เดือนนี้ เช่น การปะทะชายแดน, ความขัดแย้งทางทะเล, หรือภัยคุกคามไซเบอร์
เสียงวิจารณ์: เว้นว่างเก้าอี้ใหญ่ = เว้นความมั่นคง?
การตัดสินใจเว้นว่างตำแหน่ง รมว.กลาโหม ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์อย่างรุนแรง ทั้งในแวดวงความมั่นคงและในหมู่ประชาชน
1. การละเลยความจำเป็นเร่งด่วน นักวิชาการด้านความมั่นคงเตือนว่า “ช่วง 3 เดือนข้างหน้าอาจไม่ใช่ช่วงเวลาที่ประเทศสามารถ ‘พักผ่อน’ จากภัยคุกคามได้” โดยเฉพาะเมื่อชายแดนไทย-กัมพูชา มีแนวโน้มตึงเครียดขึ้นจากกรณีทางการเมืองและผลประโยชน์ด้านพลังงาน
2. ความไม่ต่อเนื่องเชิงนโยบาย กระทรวงกลาโหมต้องการความต่อเนื่องในการกำหนดท่าทีและนโยบาย เช่น แผนจัดซื้ออาวุธ, การวางกำลังตามแนวชายแดน, ความร่วมมือด้านความมั่นคงกับต่างประเทศ การปล่อยให้ตำแหน่งนี้ว่าง อาจทำให้เกิดช่องว่างเชิงยุทธศาสตร์
3. ความสงสัยต่อเจตนา ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่า การรอ 3 เดือนเพื่อแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง อาจสะท้อนว่า รัฐบาลยอมให้ประเทศอยู่ในภาวะสุญญากาศเพื่อ “การเมือง” มากกว่า “ชาติ”
ท่าทีของแพทองธาร: มั่นใจแต่ไม่เคลียร์
เมื่อนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกถามเรื่องการเว้นตำแหน่งนี้ ได้ตอบด้วยท่าทีมั่นใจว่า “ไม่มีปัญหา เพราะ พล.อ.ณัฐพล ก็สามารถทำงานได้” โดยไม่ได้ระบุชัดเจนว่ารอ พล.อ.เฉลิมพล จริงหรือไม่
แต่ความเงียบในบางประเด็น กลับสะท้อนถึง ความอึดอัดใจในการบริหารจัดการเกมอำนาจ ระหว่าง “พรรคเพื่อไทย-ทหาร-ประชาชน”
การไม่แต่งตั้งใครขึ้นมารับตำแหน่งในทันที อาจส่งสัญญาณว่า อำนาจการตัดสินใจบางอย่างของรัฐบาลยังต้องอยู่ภายใต้ “เงื่อนไข” จากกองทัพ
ความมั่นคงไม่ควรรอการเมือง
ที่ผ่านมาประเทศไทยเคยประสบปัญหาการเมืองที่ลุกลามจนกระทบกับความมั่นคงโดยตรง ทั้งจากชายแดนใต้ การก่อการร้ายข้ามชาติ การเผชิญหน้ากับเพื่อนบ้าน และแม้แต่ภัยพิบัติที่ต้องใช้การบัญชาการจากทหาร
ในโลกปัจจุบันที่ภัยคุกคามหลากหลายขึ้น ทั้ง ไซเบอร์เทอร์เรอร์, สงครามข้อมูล, ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ บทบาทของกระทรวงกลาโหมไม่ใช่แค่ “ดูแลทหาร” แต่ต้องทำหน้าที่เชิงรุกในทุกมิติ
การปล่อยให้เก้าอี้สำคัญเช่นนี้ว่าง อาจเป็นการเปิดทางให้ “ความเสี่ยง” ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นแบบไร้การควบคุม
เกมการเมืองที่เดิมพันด้วยความมั่นคง
หากมองแบบวิเคราะห์เชิงลึก การเว้นว่างตำแหน่ง รมว.กลาโหม อาจไม่ใช่แค่การรอ “คนที่ใช่” แต่เป็นการวางหมากเพื่อหวังผลในด้านต่างๆ ดังนี้
สานสัมพันธ์กับกองทัพ ดึงนายทหารที่น่าเชื่อถือมาเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์
วางหมากยาว เตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งหรือเปลี่ยนผ่านอำนาจในอนาคต โดยใช้ความมั่นคงเป็นเครื่องมือเจรจาทางการเมือง
ลดแรงเสียดทาน หากตั้งคนที่กองทัพไม่ยอมรับขึ้นมา อาจเกิดแรงเสียดทานล่วงหน้า การเว้นไว้ก่อนคือการ “ซื้อเวลา”
เว้นตำแหน่ง รมว.กลาโหม—เว้นใจประชาชน?
แม้การรอ พล.อ.เฉลิมพล อาจเป็นเรื่องที่มีเหตุผลในเชิงกลยุทธ์ แต่คำถามสำคัญคือ “ประเทศไทยจะต้องแลกอะไรบ้าง” เพื่อรอให้บุคคลคนเดียวได้ขึ้นตำแหน่ง
ในภาวะที่ประเทศกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากทุกด้าน ความมั่นคงไม่ควรถูกทำให้เป็นรองทางการเมือง
ความมั่นคงไม่ควรมีวันเว้นวรรค และประชาชนไม่ควรถูกปล่อยให้รอให้ใครสักคนพ้นตำแหน่ง ส.ว. เพื่อให้เก้าอี้กลาโหมถูกเติมเต็ม
#แพทองธาร2 #รมวกลาโหม #บิ๊กแก้ว #เฉลิมพลศรีสวัสดิ์ #ครมใหม่ #กองทัพ #เพื่อไทย #ความมั่นคง #ชายแดนกัมพูชา #การเมืองไทย2025