ไส้กรองเครื่องกรองน้ำ ควรเปลี่ยนเมื่อไร มีวิธีสังเกตอย่างไร
เมื่อพูดถึงเครื่องกรองน้ำ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ไส้กรอง เพราะเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ การเปลี่ยนไส้กรองตามกำหนดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เครื่องกรองน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพ
ทำไมต้องเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ำตามกำหนด?
การเปลี่ยนไส้กรองเครื่องกรองน้ำตามกำหนดนั้นสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่:
- คุณภาพน้ำที่ลดลง: เมื่อใช้ไส้กรองไปนานๆ ประสิทธิภาพในการกรองจะลดลง ทำให้ไม่สามารถดักจับสิ่งสกปรกได้อย่างเต็มที่
- การอุดตันของไส้กรอง: สิ่งสกปรกและตะกอนที่สะสมอยู่เป็นเวลานานจะทำให้ไส้กรองอุดตัน ส่งผลให้เครื่องทำงานหนักขึ้นและอาจเสียหายได้
- การสะสมของเชื้อโรค: หากไม่เปลี่ยนไส้กรองตามกำหนด สิ่งสกปรกและเชื้อโรคที่สะสมอยู่ภายในไส้กรองจะกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นดีและอาจปนเปื้อนในน้ำดื่มได้
ประเภทของไส้กรองไส้กรองหยาบ (PP Filter)
ไส้กรองหยาบหรือที่เรียกว่าไส้กรองโพลีโพรพิลีน เป็นด่านแรกของการกรอง มีลักษณะเป็นแท่งสีขาวขุ่นคล้ายใยสำลี มีคุณสมบัติในการดักจับตะกอนขนาดใหญ่ เช่น กรวด ทราย หรือสนิมเหล็ก
วิธีสังเกต:
- รูปร่างและวัสดุ: เป็นแท่งทรงกระบอกสีขาว ทำจากเส้นใยสังเคราะห์คล้ายใยสำลี หรือเส้นใยพลาสติกพันรอบแกนกลาง
- ระยะการเปลี่ยน: โดยปกติจะเปลี่ยนบ่อยที่สุดคือประมาณ 3-6 เดือน เพราะเป็นด่านแรกที่รับสิ่งสกปรกมากที่สุด เมื่อไส้กรองมีสีคล้ำขึ้นเป็นสีน้ำตาลหรือดำ แสดงว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว
ไส้กรองคาร์บอน (Carbon Filter)
ไส้กรองคาร์บอนทำจากถ่านกัมมันต์ (Activated Carbon) มีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น สี และรสที่ไม่พึงประสงค์ในน้ำ รวมไปถึงสารเคมีบางชนิด เช่น คลอรีนและสารอินทรีย์ต่างๆ
วิธีสังเกต:
- รูปร่างและวัสดุ: มีลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีดำหรือเทาเข้ม มีเนื้อสัมผัสเป็นเม็ดถ่านละเอียดอัดแน่น หรือเป็นแบบแท่งคาร์บอนอัดแข็ง
- ระยะการเปลี่ยน: ควรเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน หากน้ำเริ่มมีกลิ่นคลอรีน หรือมีรสชาติแปลกๆ ก็เป็นสัญญาณว่าประสิทธิภาพในการกรองเริ่มลดลง
ไส้กรองเมมเบรน (Membrane Filter)
ไส้กรองเมมเบรนเป็นหัวใจสำคัญของเครื่องกรองน้ำระบบ RO (Reverse Osmosis) และ UF (Ultrafiltration) มีความสามารถในการกรองที่ละเอียดมาก สามารถกรองแบคทีเรีย ไวรัส และสารแขวนลอยที่มีขนาดเล็กมากๆ ได้
วิธีสังเกต:
- รูปร่างและวัสดุ: มีลักษณะเป็นทรงกระบอกเช่นกัน แต่มีขนาดใหญ่กว่าไส้กรองอื่นๆ และมักจะอยู่ในกระบอกที่มีฝาปิดเฉพาะตัว ภายในเป็นแผ่นกรองบางๆ หลายชั้นม้วนซ้อนกัน
- ระยะการเปลี่ยน: มีอายุการใช้งานที่ยาวนานที่สุด โดยปกติจะเปลี่ยนทุก 1-2 ปี หรือตามคำแนะนำของผู้ผลิต การสังเกตว่าควรเปลี่ยนหรือไม่นั้นจะค่อนข้างยากกว่าไส้กรองชนิดอื่น เพราะไส้กรองเมมเบรนไม่เปลี่ยนสีให้เห็นชัดเจน แต่มักจะสังเกตได้จากปริมาณน้ำที่ไหลออกมาน้อยลงอย่างผิดปกติ
การเข้าใจความแตกต่างของไส้กรองแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณดูแลเครื่องกรองน้ำได้อย่างเหมาะสมและมั่นใจได้ว่าน้ำดื่มที่ได้นั้นสะอาดและปลอดภัยอยู่เสมอ
ไส้กรองแต่ละชนิดควรเปลี่ยนเมื่อไร?
อายุการใช้งานของไส้กรองแต่ละชนิดนั้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของไส้กรองและคุณภาพของน้ำที่ใช้ โดยทั่วไปแล้วมีอายุการใช้งานดังนี้:
- ไส้กรองหยาบ (PP Filter): ควรเปลี่ยนทุก 3-6 เดือน
- ไส้กรองคาร์บอน (Carbon Filter): ควรเปลี่ยนทุก 6-12 เดือน
- ไส้กรองเมมเบรน (Membrane Filter): ควรเปลี่ยนทุก 1-2 ปี
อย่างไรก็ตาม ควรตรวจสอบคู่มือการใช้งานของเครื่องกรองน้ำแต่ละรุ่นอีกครั้งเพื่อความแม่นยำ
วิธีสังเกตว่าควรเปลี่ยนไส้กรองแล้วหรือยัง
นอกเหนือจากการเปลี่ยนตามกำหนดเวลาแล้ว เรายังสามารถสังเกตสัญญาณต่างๆ ที่บ่งบอกว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนไส้กรองได้ดังนี้:
- น้ำไหลช้าลง: หากน้ำไหลออกจากก๊อกช้ากว่าปกติ แสดงว่าไส้กรองอาจอุดตัน
- รสชาติและกลิ่นของน้ำเปลี่ยนไป: หากน้ำมีรสชาติหรือกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กลิ่นคลอรีน หรือรสชาติแปลกๆ อาจเป็นสัญญาณว่าไส้กรองหมดประสิทธิภาพแล้ว
- สีของไส้กรองเปลี่ยนไป: โดยเฉพาะไส้กรองหยาบ หากมีสีคล้ำขึ้นจากเดิมมาก แสดงว่ามีสิ่งสกปรกสะสมอยู่มาก ควรเปลี่ยนไส้กรองใหม่