มะเขือเทศเม็กซิโกฝ่าด่านภาษีสหรัฐฯ ด้วยนวัตกรรมโรงเรือน
อุตสาหกรรมมะเขือเทศของเม็กซิโกกำลังเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ จากระบบเกษตรกลางแจ้งสู่ “โรงเรือนอัจฉริยะ” ที่ควบคุมสภาพแวดล้อมการผลิตได้อย่างแม่นยำ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีไฮโดรโพนิกส์ การจัดการศัตรูพืชแบบบูรณาการ (IPM) และการบริหารน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ
มากกว่า 60% ของมะเขือเทศส่งออกจากเม็กซิโกในปี 2024 มาจากระบบโรงเรือน โดยส่งออกมากกว่าครึ่งของผลผลิตไปยังสหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นตลาดมูลค่ากว่า 2.71 พันล้านดอลลาร์ ต่อปี
โรงเรือนช่วยให้ปลูกได้ตลอดทั้งปี ลดการใช้สารเคมีอย่างเห็นผล โดยเฉพาะในพืชออร์แกนิก และยังช่วยควบคุมความสม่ำเสมอของผลผลิตท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ขณะเดียวกันยังลดการใช้น้ำได้มากกว่าการปลูกกลางแจ้งหลายเท่า ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของ เกษตรกรรมแบบ Net Zero
เมื่อการค้ากลายเป็นแรงต้าน ภาษี 17% จากสหรัฐฯ
รัฐบาลทรัมป์ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เรื่องการเก็บภาษีนำเข้ามะเขือเทศสดจากเม็กซิโกราว 17% โดยมะเขือเทศจากเม็กซิโกคิดเป็น สองในสาม ของมะเขือเทศที่บริโภคในสหรัฐฯ และการสิ้นสุดข้อตกลงการส่งออกระหว่างสองประเทศ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ จะถอนตัวจากข้อตกลงปี 2019 กับเม็กซิโกที่เคยระงับการสอบสวนการทุ่มตลาดสินค้ามะเขือเทศจากเม็กซิโก โดยการส่งออกมะเขือเทศจากเม็กซิโกมายังสหรัฐฯ มีมูลค่าราว 3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี
การดำเนินการดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามเจรจาข้อตกลงการค้าแบบครอบคลุมกับประเทศคู่ค้าทุกประเทศ หลังจากที่ทรัมป์เปิดฉากประกาศเก็บภาษีเป็นชุด ๆ อย่างรวดเร็วตั้งแต่เดือนเมษายน
สหรัฐฯ และเม็กซิโกเริ่มทำข้อตกลงควบคุมการส่งออกมะเขือเทศจากเม็กซิโกครั้งแรกในปี 1996 เพื่อตอบสนองต่อข้อร้องเรียนของสหรัฐฯ เรื่องการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม โดยข้อตกลงนี้มีการต่ออายุครั้งล่าสุดเมื่อ หกปีที่แล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการสอบสวนการทุ่มตลาดและยุติข้อพิพาทด้านภาษี
เม็กซิโกระบุในเดือนเมษายนว่า มีความมั่นใจว่าจะสามารถต่ออายุข้อตกลงเกี่ยวกับมะเขือเทศได้ หลังจากที่วอชิงตันระบุว่ามีเจตนาจะถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว
ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดที่อัตรา 17.09% ถูกกำหนดตามสัดส่วนที่มะเขือเทศจากเม็กซิโกมีราคาถูกกว่าตลาดอย่างไม่เป็นธรรมในสหรัฐฯ
กระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงเกษตรของเม็กซิโกออกแถลงการณ์ร่วมกันว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ ครั้งนี้ “ไม่ยุติธรรม” และเป็นการกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์ของผู้ผลิตชาวเม็กซิกันและอุตสาหกรรมในสหรัฐฯ
รัฐบาลเม็กซิโกระบุว่า จะช่วยผู้ผลิตมะเขือเทศภายในประเทศในการหาข้อตกลงเพื่อระงับการเก็บภาษีดังกล่าว รวมทั้งสนับสนุนให้พวกเขาขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ
ทั้งนี้ ในแถลงการณ์ยังระบุเพิ่มเติมว่า ผู้ปลูกมะเขือเทศของเม็กซิโกได้ยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐฯ แต่ข้อเสนอดังกล่าวถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลทางการเมือง
กลุ่มสมาคมเกษตรกรเม็กซิโก 5 กลุ่ม รวมถึงจากรัฐบาฮากาลิฟอร์เนียและรัฐซีนาโลอา ระบุว่าพวกเขายังคงมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับรัฐบาลเม็กซิโกเพื่อหาทางออก
ไม่มีประเทศใดในโลกที่สามารถทดแทนมะเขือเทศจากเม็กซิโกในตลาดที่สร้างขึ้นมาด้วยนวัตกรรมและความพยายามตลอด 120 ปีที่ผ่านมา
ราคามีแนวโน้มสูงขึ้น
ก่อนการประกาศเมื่อวันจันทร์ ผู้เชี่ยวชาญบางราย รวมถึงฝ่ายตรงข้ามของทรัมป์จากพรรคเดโมแครต เตือนว่าราคาผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศจะปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ปลูกพืชผลในสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีมาตรการปกป้องจากคู่แข่งชาวเม็กซิกันมาโดยตลอด เพราะผู้ปลูกจากเม็กซิโกสามารถปลูกผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
ข้อตกลงปี 2019 เดิมถูกออกแบบมาเพื่อกำหนดราคาขั้นต่ำ และอนุญาตให้ตรวจสอบผลผลิตที่ชายแดนสหรัฐฯ ได้ แต่ผู้ปลูกในสหรัฐฯ โต้แย้งมานานว่า ข้อตกลงนั้นมีช่องโหว่มากเกินไปและเปิดทางให้มีการทุ่มตลาดมะเขือเทศจากเม็กซิโก
โรเบิร์ต เกวินเธอร์ เจ้าหน้าที่จาก Florida Tomato Exchange ซึ่งเป็นองค์กรตัวแทนผู้ปลูกในรัฐฟลอริดากล่าวว่า การตัดสินใจครั้งนี้จะช่วยปกป้องเกษตรกรผู้ปลูกมะเขือเทศของสหรัฐฯ จากการค้าขายที่ไม่เป็นธรรมของเม็กซิโก และส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์มุ่งมั่นที่จะสร้างตลาดที่เป็นธรรมให้กับภาคเกษตรของสหรัฐฯ
อุตสาหกรรมมะเขือเทศในโรงเรือนของเม็กซิโกกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากจะเลือกภาคส่วนหนึ่งของผลผลิตสดที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในตลาดนำเข้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มะเขือเทศสดก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่โดดเด่น ตามรายงานของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ (USDA) ปี 2024 ระบุว่า ปริมาณการนำเข้ามะเขือเทศสดเพิ่มขึ้นถึง 176% ตั้งแต่ปี 2000 และจากรายงานเดียวกันยังระบุว่า มากกว่า 60% ของมะเขือเทศเหล่านี้มาจากโรงเรือน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็วตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเม็กซิโก
แม้ USDA จะระบุว่าการผลิตมะเขือเทศในโรงเรือนของสหรัฐฯ เองมีการเติบโต แต่ยังตามหลังการนำเข้าจากเม็กซิโกอยู่มาก โดยในปี 2023 เม็กซิโกคิดเป็น 88% ของมะเขือเทศโรงเรือนทั้งหมดที่บริโภคในสหรัฐฯ รายงานของ USDA FAS ปี 2024 ระบุว่า มะเขือเทศเป็นผลผลิตสดอันดับ 2 ที่สหรัฐฯ นำเข้า โดยมีมูลค่าต่อปีมากกว่า 2.71 พันล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับหนึ่งคืออะโวคาโดที่มูลค่าใกล้เคียงกันที่ 2.72 พันล้านดอลลาร์
เม็กซิโกซึ่งเป็นผู้ผลิตมะเขือเทศอันดับ 8 ของโลก ส่งออกมะเขือเทศมากกว่าครึ่งของผลผลิตประจำปีไปยังสหรัฐฯ โดยผลผลิตในปี 2024 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.3 ล้านตัน ช่วงเดือนธันวาคมถึงเมษายนจะเน้นที่รัฐซีนาโลอา ก่อนที่ช่วงเวลาหลังจากนั้นจะเปลี่ยนไปยังรัฐซานลุยส์โปโตซี มิโชอากัง และฮาลิสโกทางตอนกลาง และซอนอราและบาฮากาลิฟอร์เนียทางตอนเหนือ
USDA ยังระบุด้วยว่า แนวโน้มที่เห็นเด่นชัดในอุตสาหกรรมมะเขือเทศเม็กซิโกคือการหันมาใช้ระบบเกษตรแบบป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นโรงเรือน โครงพลาสติก หรือเรือนพลางแสง ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000 และเร่งตัวขึ้นในช่วงทศวรรษ 2010 จนถึงปัจจุบัน
ยกระดับการผลิต
บริษัท Globalmex International จากเมืองมิสชัน รัฐเท็กซัส เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและทำตลาดมะเขือเทศโรงเรือนจากเม็กซิโกรายใหญ่ในสหรัฐฯ ภายใต้แบรนด์ Magic Sun โดยบริษัทมีโครงสร้างใกล้เคียงกับสหกรณ์ และเป็นบริษัทย่อยในสหรัฐฯ ของ Agrícola Globalmex ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐซากาเตกัส ประเทศเม็กซิโก และมีพื้นที่ปลูกมะเขือเทศในโรงเรือนรวม 212 เอเคอร์ ครอบคลุมรัฐซากาเตกัส ฮาลิสโก เกเรตาโร และชิฮัวฮัว
แอนโธนี อ็อตโต ผู้จัดการฝ่ายขายของ Globalmex กล่าวว่า ได้ปลูกในโรงเรือนไฮเทคระบบไฮโดรโพนิกส์ทั้งหมด และโรงเรือนอยู่ในพื้นที่สูง เน้นผลิตมะเขือเทศโรงเรือนเกือบทั้งหมด ทั้งแบบธรรมดาและออร์แกนิก ไม่ว่าจะเป็นแบบ On-the-vine, Beefsteak, Grape และ Cocktail และในปี 2024 ยังมี Roma เพิ่มเข้ามา
โรงเรือนทำให้สามารถควบคุมสภาพแวดล้อมในการเพาะปลูก ทั้งอุณหภูมิ สารอาหาร และความชื้น รวมถึงป้องกันศัตรูพืช โรค และความเสียหายจากสภาพอากาศ แม้จะต้องลงทุนเริ่มต้นสูง แต่โรงเรือนช่วยให้เราลดหรือไม่ต้องใช้สารเคมีเลย ผ่านระบบควบคุมศัตรูพืชแบบบูรณาการ โดยเฉพาะกับพืชออร์แกนิกที่ห้ามใช้ยาฆ่าแมลง
บริษัท Del Campo ที่ตั้งอยู่ในเมืองคูเลียกัน รัฐซีนาโลอา ผลิตและส่งออกมะเขือเทศ พริกหยวก และมะเขือม่วง ซึ่ง ถึง 90% ของผลผลิตอยู่ในโรงเรือนหรือพลาสติก โครงพลางแสง ดิเอโก เลย์ ผู้อำนวยการ Del Campo สาขาสหรัฐฯ ที่เมืองโนกาเลส รัฐแอริโซนา ระบุว่า ในพื้นที่ตอนกลางของเม็กซิโก ถึง 100% ของการผลิตอยู่ภายใต้พลาสติก ครอบคลุมมะเขือเทศทุกสายพันธุ์ เช่น Beefsteak, Roma, Medley, Grape, Heirloom และ Cherry
เฟลิกซ์ ตาร์รัตส์ กรรมการผู้จัดการของมหาวิทยาลัย Ceickor ในรัฐเกเรตาโร ระบุว่า โรงเรือนทำให้สามารถปลูกได้หลายสายพันธุ์ ตั้งแต่ Cherry, Grape, Roma ไปจนถึง Round โดยมีค่าความหวาน (Brix) สูง ในขณะที่การปลูกกลางแจ้งจำกัดอยู่แค่บางสายพันธุ์ และมีความเสี่ยงต่อโรคและแมลงมากกว่า
Ceickor เริ่มจากบริษัทเชิงพาณิชย์ในปี 2006 และเปิดเป็นมหาวิทยาลัยในปี 2011 เพื่อตอบสนองความต้องการแรงงานฝีมือในภาคโรงเรือนซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว หลักสูตรเน้นภาคปฏิบัติ 60% ทฤษฎี 40% โดยนักศึกษาทุกกลุ่มจะมีโรงเรือนของตนเองสำหรับฝึกจริง
ข้อได้เปรียบสำคัญที่สุดของโรงเรือนคือเรื่องน้ำ การปลูกกลางแจ้งทำให้น้ำสูญเสียจำนวนมาก ในขณะที่โรงเรือนสามารถกรองและหมุนเวียนน้ำได้ ช่วยประหยัดทรัพยากรอย่างมาก
อีกจุดแข็งคือผลผลิตที่สูงกว่าโรงเปิดถึง 3 เท่า โดยสามารถเก็บเกี่ยวได้นานถึง 38–40 สัปดาห์ เทียบกับ 12–15 สัปดาห์ ในระบบเปิด เนื่องจากสามารถควบคุมโรคและแมลงได้ดี
นอกจากนี้ การใช้ระบบชีวภาพและแมลงช่วยผสมเกสรในโรงเรือน ทำให้ลดการใช้สารเคมีและสารตกค้างในผลผลิต
ปัจจุบัน การผลิตมะเขือเทศโรงเรือนของเม็กซิโกกระจุกตัวอยู่ใน “เมกะภูมิภาคบาฮีโอ” ครอบคลุมเกเรตาโร กวานาวาโต ซานลุยส์โปโตซี และฮาลิสโก พื้นที่มีความสูงเฉลี่ย 1,600–2,000 เมตร ทำให้เลี่ยงอุณหภูมิร้อนจัด และปลูกได้ตลอดปี
ความท้าทายยังมีอยู่
แรงงานเป็นหนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่สุด บริษัทต่าง ๆ ต้องเผชิญ โดยปัจจุบันแรงงานเกษตรเริ่มขาดแคลนและมีต้นทุนสูง ทำให้เม็กซิโกเสียเปรียบมากขึ้นเมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และแคนาดา
ความซับซ้อนทางเศรษฐกิจยังมีเรื่องข้อพิพาททางการค้าระหว่างเกษตรกรเม็กซิโกกับสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลง "ระงับการทุ่มตลาด" มะเขือเทศในปี 1996 โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกเม็กซิโกต้องขายไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำ แต่เกษตรกรสหรัฐฯ ก็ยังคงกล่าวหาว่าเม็กซิโกขายในราคาต่ำกว่าทุนเป็นระยะ
ข้อมูลอ้างอิง