JGS – JMART ผนึก “Huawei” รุกโซลาร์รูฟ เดินหน้าปล่อยสินเชื่อ Green Loan ตั้งเป้าพอร์ตแตะ 450 ล้านบาท ใน 1 ปี
JGS ผนึก JAYMART และ “Huawei” ลุยตลาดโซลาร์รูฟเต็มสูบ ปล่อยสินเชื่อ Green Loan ดันไทยสู่สังคมพลังงานสะอาด ตั้งเป้าพอร์ตแตะ 450 ล้านบาทภายใน 1 ปี ฝากผู้บริหาร GUNKUL-Jaymart Mobile มั่นใจผลงานครึ่งปีหลังสดใส หนุนภาพรวมทั้งปีแกร่ง
โดยคุณภัณรฏา กำลังมาก Vice President บริษัท เจจีเอส ซินเนอรจี พาวเวอร์ จำกัด (JGS) กล่าวว่า บริษัทฯเดินหน้าสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดในภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ เปิดตัวโครงการสินเชื่อกรีนโลน(Green Loan) เพื่อส่งเสริมการติดตั้งโซลาร์เซลล์ โดยตั้งเป้าหมายยอดขายและสินเชื่อรวมที่ประมาณ 150 ล้านบาท ในช่วงเริ่มต้น และคาดหวังว่าจะสามารถขยายยอดปล่อยสินเชื่อไปถึง 300-450 ล้านบาทภายใน 12 เดือน
สำหรับโครงการสินเชื่อกรีนโลนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกและลดภาระค่าใช้จ่ายประจำวันให้กับทุกครัวเรือนและสถานประกอบการที่ต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ ปัจจุบัน โครงการเพิ่งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ แต่สามารถปล่อยสินเชื่อไปแล้วประมาณ 100 ล้านบาทภายใน 3 เดือน ซึ่งครอบคลุมลูกค้าประมาณ 100 ราย และยังไม่มีรายงานการผิดนัดชำระหนี้แต่อย่างใด
ในส่วนของพันธมิตรทางการเงินและเงื่อนไขสินเชื่อนั้น GUNKUL มีการร่วมมือกับพันธมิตรทางการเงินหลายรายในการปล่อยสินเชื่อกรีนโลน ได้แก่ SGC Finance (บริษัทในเครือ SINGER และ JAYMART) นอกจากนี้ยังมีธนาคารชั้นนำเข้าร่วม ได้แก่ ICBC และ ธนาคารออมสิน โดยธนาคารพันธมิตรเหล่านี้ได้จัดโปรโมชั่นและสนับสนุนการปล่อยสินเชื่อกรีนโลนสำหรับบ้านเรือนที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ รวมถึงธุรกิจสตาร์ทอัพ แผนการผ่อนชำระสามารถเลือกได้ตั้งแต่ 12 เดือน ไปจนถึง 84 เดือน พร้อมอัตราสินเชื่อพิเศษที่จัดทำร่วมกับแคมเปญของ JGS
ทั้งนี้ จุดเด่นสำคัญของโครงการคือ "Satisfaction Guarantee" ซึ่งเป็นการรับประกันว่า หากลูกค้าไม่พึงพอใจในสินค้าและผลิตภัณฑ์หลังจากการติดตั้ง JGS ยินดีคืนเงินและนำระบบกลับคืน เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้กับลูกค้า นอกจากนี้ JGS ยังให้การดูแลหลังการขายด้วยการ รับประกันระบบนานถึง 5 ปี การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์จะดำเนินการโดย กลุ่ม GUNKUL เอง
โดยประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากดอกเบี้ยที่ลดลงการติดตั้งโซลาร์เซลล์จะช่วยให้ลูกค้า ประหยัดค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่วันแรก ที่เห็นผล ในปัจจุบัน ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนการติดตั้งโซลาร์เซลล์มากขึ้น ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อลดลงอย่างมาก จากเดิมที่การกู้ยืมเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 7-8% ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นเพียง0.9% (จากธนาคารออมสิน) หรือ 1.99% และสูงสุดประมาณ 5% ปลายๆ
“การลดลงของอัตราดอกเบี้ยนี้ทำให้จุดคุ้มทุนของการติดตั้งโซลาร์เซลล์สั้นลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิม 8-12 ปี เหลือเพียง 3-5 ปีเท่านั้น ลูกค้าจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมหลังปีที่ 3 ซึ่งจะทำให้มั่นใจได้ว่าสามารถใช้ไฟฟ้าฟรีในช่วงกลางวัน เปรียบเสมือนมีโรงไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นของตนเองที่บ้าน เป้าหมายหลักคือการช่วยให้ลูกค้าสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เองในช่วงกลางวันและทำให้ ค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันเป็นศูนย์” คุณภัณรฏากล่าว
ขณะที่ คุณนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL และกรรมการ JGS เปิดเผยว่า แม้ในไตรมาส 2 บริษัทฯ จะเผชิญกับลมที่อ่อนกำลัง แต่ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้จากการบริหารจัดการและหารายได้จากส่วนอื่นเข้ามาทดแทน และเชื่อว่าไตรมาส 3 จะยังคงเป็นบวกต่อเนื่อง
ปัจจุบันสัดส่วนกำไรหลักของ GUNKUL ประมาณกว่า 70% มาจากภาคพลังงาน ซึ่งรวมถึงกำไรที่มาจากการบันทึกส่วนแบ่งกำไร (profit sharing) จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ร่วมกับพันธมิตรอย่าง Gulf นางสาวนฤชลเชื่อมั่นว่า หากโครงการที่มีอยู่ในแผนที่รอการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วเสร็จ สัดส่วนกำไรจากภาคพลังงานจะ เพิ่มขึ้นจาก 70% ต้น ๆ ไปเป็น 85% ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นคงของบริษัทเนื่องจากการลงทุนในภาคพลังงานมักมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าในระยะยาว
ขณะที่แผนการลงทุนและแหล่งรายได้ใหม่ในปี 2568 คาดว่าจะมีการลงทุนไม่มากนัก อยู่ในหลักพันล้านบาท แต่คาดว่าการลงทุนจะเริ่มหนักขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ส่วนแผนการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการใหม่จะอยู่ในช่วงปลายปีหน้า อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะถึงช่วง COD บริษัทฯ จะมีรายได้จากการก่อสร้าง เข้ามาบันทึกในงบการเงินได้ เนื่องจากมีการรับรู้โครงการที่ไม่ได้รวมงบการเงิน (unconsolidated projects) เข้ามา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในปีหลัง ๆ บริษัทจะมีการเติบโตจากรายได้จากการก่อสร้างเป็นหลัก
“โดยรวมแล้ว แผนงานในครึ่งปีหลังของ GUNKUL น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ซึ่งในครึ่งปีแรก บริษัทก็มีการเติบโตของกำไรถึง 20% แล้ว โดยบริษัทมีการจัดการโครงสร้างต้นทุนได้ดีขึ้นมาก และเชื่อว่ามีโอกาสที่ดีในหลายๆ งานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงโครงการที่จะเข้าประมูล สะท้อนถึงสถานะของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมองว่าราคาหุ้นในปัจจุบันที่มีค่า P/E ประมาณ 8 เท่า เมื่อเทียบกับสายธุรกิจที่มีอยู่ถือว่าน่าสนใจอย่างมาก”คุณนฤชล กล่าว
ด้าน คุณดุสิต สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจมาร์ท โมบาย จำกัด (Jaymart Mobile) กล่าวว่า Jaymart ยังคงให้ความสำคัญกับการทำ CRM (Customer Relationship Management) เป็นอย่างมาก โดยปัจจุบันมีลูกค้าอยู่ในพอร์ตของ Jaymart Group กว่า 3 ล้านราย ซึ่งเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น Solar Rooftop ซึ่งมีราคาเกือบแสนบาท โดยใช้จุดแข็งด้านสินเชื่อของ JM ทั้ง SG และธนาคารพันธมิตร ในการช่วยเหลือและสนับสนุนลูกค้าได้อย่างดีเยี่ยม
ด้านผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก 2568 บริษัทฯ มีการเติบโตของยอดขายประมาณ 20% โดยมีกำไรปรับตัวดีขึ้นสูงถึงประมาณ 30% ยอดขายในครึ่งปีแรกปิดไปที่ประมาณ 4,800 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของยอดขายในช่วงที่ผ่านมานั้น มาจากการใช้สินเชื่อ SG Finance และ Samsung Finance Plus ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันการเติบโตของยอดขาย, การสนับสนุนด้านโปรโมชั่นจากผู้ผลิตหรือแบรนด์ต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยกระตุ้นทำให้ตลาดโทรศัพท์มือถือกลับมาคึกคักมากขึ้น
ส่วนแนวโน้มและเป้าหมายครึ่งปีหลัง บริษัทฯ มองว่าในครึ่งปีหลังตลาดมือถือจะยังคงสดใสต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ อย่าง FIP Pro ที่เปิดตัวไปแล้ว และ iPhone ที่กำลังจะเข้ามา รวมถึงกลุ่ม CB ที่ทยอยปรับเปลี่ยนโมเดลใหม่ ๆ, การโฟกัสเรื่องสินเชื่อ เพื่อทำให้ตลาดโมบายกลับมาคึกคักมากขึ้น ขณะที่ช่วงไตรมาส 4 เป็นช่วง High Season ของตลาดมือถืออยู่แล้ว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท ส่วนภาพรวมทั้งปี 2568 คาดว่าจะมีการเติบโตของยอดขายอย่างน้อย 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ราว 12,000 ล้านบาท
“คาดว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมาน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว และไตรมาส 3-4 น่าจะกลับมาเติบโตตามแนวโน้มปกติ หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น” คุณดุสิต กล่าวทิ้งท้าย