จดทะเบียนธุรกิจใหม่ลดลง 5.68%-ทุนจดทะเบียนพุ่ง 11.89% Bio-Innovation มาแรง
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เผยสถานการณ์จดทะเบียนธุรกิจเดือนพฤษภาคม 2568 และ 5 เดือนที่ผ่านมาปี 2568 พบมีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,667 ราย ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย ด้านทุนจดทะเบียนสะสม 5 เดือนพุ่งแตะ 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.89% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันการลงทุนโดยตรงจากชาวต่างชาติในไทยขยายตัวต่อเนื่อง ญี่ปุ่นครองแชมป์ลงทุนสูงสุด และพื้นที่ EEC ดึงดูดนักลงทุนคิดเป็น 54% ของเงินลงทุนรวม พร้อมชี้ธุรกิจ Bio-Innovation เป็นดาวรุ่ง มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องทั้งจำนวนธุรกิจ รายได้ และการลงทุนจากต่างประเทศ สุดท้ายแจงมีนิติบุคคลส่งงบการเงินปี 2567 รอบปีปกติ (31 ธันวาคม 2567) แล้ว 630,172 ราย และยังไม่ได้นำส่งอีก 156,084 ราย หรือ 19.85% ขอย้ำให้นิติบุคคลให้รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จ
วันที่ 27 มิถุนายน 2568 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤษภาคม 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 6,667 ราย ลดลง 832 ราย (-11.09%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (7,499 ราย) แต่เพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า หรือเมษายน 2568 (6,325 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียนเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ 18,965 ล้านบาท ลดลง 2,923 ล้านบาท (-13.35%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (21,887 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 516 ราย ทุนจดทะเบียน 886 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 436 ราย ทุนจดทะเบียน 1,479 ล้านบาท 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 300 ราย ทุนจดทะเบียน 599 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.74%, 6.54% และ 4.50% ของจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัทภูเก็ต อาร์บีวัน จำกัด ประกอบกิจการโรงแรม มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,062 ล้านบาท
อธิบดีอรมน กล่าวต่อว่า การจัดตั้งใหม่ในช่วง 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 36,815 ราย ลดลง 2,217 ราย (-5.68%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (39,032 ราย) ในขณะที่ทุนจดทะเบียน 131,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13,927 ล้านบาท (11.89%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (117,100 ล้านบาท) ด้านธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 2,910 ราย ทุนจดทะเบียน 5,988 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 2,483 ราย ทุนจดทะเบียน 9,314 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 1,537 ราย ทุนจดทะเบียน 3,027 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.90%, 6.74% และ 4.17% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 5 เดือนของปี 2568 ตามลำดับ ทั้งนี้ 5 เดือนของปี 68 มีธุรกิจที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวนรวมทั้งสิ้น 8 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียน รวมทั้งสิ้น 38,561 ล้านบาท
การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวน 855 ราย ลดลง 149 ราย (-14.84%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (1,004 ราย) และมีทุนจดทะเบียนเลิก 4,150 ล้านบาท ลดลง 50,654 ล้านบาท (-92.43%) เมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม 2567 (54,804 ล้านบาท) เนื่องจากเดือนพฤษภาคม 2567 มีบริษัทที่มีมูลค่าทุนจดทะเบียนสูงเลิกประกอบกิจการจำนวน 2 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 50,477.75 ล้านบาท สำหรับประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 75 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 195 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 48 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 184 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 43 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 96 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.77%, 5.61% และ 5.03% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ
การจดทะเบียนเลิก 5 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤษภาคม 2568) มีจำนวน 4,776 ราย เพิ่มขึ้น 153 ราย (3.31%) เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 (4,623 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสมอยู่ที่ 20,140 ล้านบาท ลดลง 51,704 ล้านบาท (-71.97%) เมื่อเทียบกับ 5 เดือนของปี 2567 (71,845 ล้านบาท) โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 447 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 847 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 232 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 1,096 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 202 ราย ทุนจดทะเบียนเลิก 487 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 9.36%, 4.86% และ 4.23% จากจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใน 5 เดือนของปี 2567 ตามลำดับ ทั้งนี้ ช่วง 5 เดือนของปี 2568 มีนิติบุคคลเลิกประกอบกิจการที่มีทุนจดทะเบียนเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 2 ราย รวมทุนจดทะเบียนเลิกทั้งสิ้น 4,128 ล้านบาท
ในภาพรวมแม้ตัวเลขการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 จะมีจำนวนลดลง 5.68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 แต่หากดูที่มูลค่าการลงทุนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 จะพบว่า เพิ่มขึ้นถึง 11.89% เมื่อเทียบกับปี 2567 ซึ่งกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าการลงทุนสูงเมื่อเทียบกับปี 2567 อาทิ ธุรกิจโฮลดิ้ง การผลิตเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ การผลิตส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม และการผลิตโซ่ ลวดสปริง สลักเกียว เป็นต้น ในขณะที่กลุ่มธุรกิจโรงแรม รีสอร์ท และห้องชุด การให้คำปรึกษาด้านการจัดการ การขายส่งสินค้าทั่วไป และการขนส่งและขนถ่ายสินค้า ยังคงเป็นธุรกิจที่เติบโตได้ดี เนื่องจากทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในปีนี้เมื่อเทียบกับปีแล้ว ซึ่งปัจจัยหนึ่งน่าจะสืบเนื่องจากนโยบาย และมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล การขยายตัวของห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการที่กลุ่มธุรกิจต้องการผู้เชี่ยวชาญมาช่วยบริหารจัดการและวางกลยุทธ์ของธุรกิจ เป็นต้น
สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ทั้งจำนวนการจัดตั้ง และมูลค่าการลงทุนชะลอตัว เช่น ก่อสร้างอาคารทั่วไป อสังหาริมทรัพย์ ภัตตาคาร ขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต ตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น อาจสืบเนื่องมาจากผลกระทบของกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่ลดลงจากนโยบายการรัดกุมในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ การชะลอตัวของการซื้อของชาวต่างชาติจากสภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น ตลอดจนการแข่งขันที่สูงขึ้นของผู้เล่นในตลาดขายปลีกทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
ทั้งนี้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงในเรื่องต่างๆ อาทิ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก มาตรการทางการค้าและการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ สถานการณ์ในตะวันออกกลาง สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เป็นต้น อย่างไรก็ดี จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ โครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 การเร่งรัดเบิกจ่ายเงินงบประมาณ มาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของการท่องเที่ยว มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาให้ SME และการเจรจาจัดทำความตกลงทางการค้ากับต่างประเทศจะช่วยส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวม และช่วยคงจำนวนและมูลค่าการ จดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในปี 2568 ให้สามารถเติบโตได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา คือ 90,000 ราย
ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2568) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 2,001,647 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 30.84 ล้านล้านบาท โดยมีนิติบุคคลดำเนินกิจการอยู่ 953,580 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.56 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัด 753,780 ราย หรือ 79.05% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมดทุนจดทะเบียนรวม 16.78 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 198,307 ราย หรือ 20.80% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 0.43 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด1,493 ราย หรือ 0.15% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียนรวม 5.36 ล้านล้านบาท สำหรับนิติบุคคลในกลุ่มธุรกิจบริการเป็นประเภทธุรกิจที่มีสัดส่วนการจดทะเบียนมากที่สุดมีจำนวน 516,498 ราย ทุนจดทะเบียน 13.05 ล้านล้านบาท รองลงมาคือ กลุ่มธุรกิจค้าส่ง/ค้าปลีก 311,963 ราย ทุน 2.57 ล้านล้านบาท และธุรกิจผลิต 125,119 ราย ทุน 6.95 ล้านล้านบาท คิดเป็น 54.16%, 32.72% และ 13.12% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ตามลำดับ