ถอดเบื้องหลังการตลาด พาแบรนด์ไทยบุกตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน
นักท่องเที่ยวทั่วโลกยังคงหลั่งไหลมาไทย แต่สิ่งที่น่าจับตามองไม่ใช่แค่จำนวนคน แต่อยู่ที่ “พฤติกรรมใหม่” ของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ซึ่งอาจซ่อนโอกาสทางธุรกิจที่ไทยมองไม่เห็น
นักท่องเที่ยวสมัยนี้ไม่ได้มาแค่เที่ยวตามรวัดดังหรือช้อปปิ้งอีกต่อไป นักท่องเที่ยวจีน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่เริ่มมาสายคอนเสิร์ตหรืองาน Festival เช่น S2O หรือ Big Mountain มากขึ้น
ขณะเดียวกันกลุ่ม LGBTQ ก็เป็นอีกกลุ่มที่เดินทางมาไทยเยอะขึ้น เทศกาลอย่าง Pride ต่าง ๆ หรือ White Party กลายเป็นจุดขายใหม่ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมาไทย ซึ่งเทรนด์สุขภาพยังมาแรงต่อเนื่องและไม่หายไปง่าย ๆ มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยที่มาเมืองไทยเพราะอยากหาคอร์สสุขภาพดีๆ เช่น โยคะหรือสปาแบบจริงจัง
อยากเจาะตลาดจีนต้องทำอย่างไร
ถ้าอยากเจาะตลาดจีนให้ได้ผล ห้ามมองว่าจีนคือกลุ่มก้อนเดียวกัน นักท่องเที่ยวจากแต่ละมณฑลมีรสนิยมต่างกันสุดขั้ว บางที่ชอบของหวาน บางที่ไม่กินผลไม้ บางเมืองไม่มีทะเลก็อยากเที่ยวทะเล บางเมืองอยู่ติดทะเลก็อยากขึ้นดอย การรู้ว่าใครชอบอะไร จะช่วยให้แบรนด์ไทยเสนอขายสิ่งที่ "ใช่" ได้แบบตรงจุด
สินค้าขายดี เพราะเข้าใจผู้บริโภค ?
แชมพู Forest จากเดิมที่เน้นจุดขายเรื่อง "ลดผมร่วง" แต่พอศึกษาพฤติกรรมคนจีนก็พบว่า หลายคนไม่ได้สระผมทุกวัน แชมพูที่ให้ความหอมติดทนหลายวันจึงตอบโจทย์มากกว่า พอเปลี่ยน Key Message เป็น "สระครั้งเดียว หอมนาน 3 วัน" ก็ขายดีจนกลายเป็นของที่ต้องซื้อกลับบ้าน ซึ่งนี่แหละคือพลังของการเข้าใจลูกค้าจริงๆ
ตอนนี้ Xiaohongshu คือแอปที่สำคัญที่สุดในการทำตลาดจีน เพราะนี่คือแหล่งค้นหาอันดับหนึ่งของคำว่า “ของต้องซื้อในไทย” นักท่องเที่ยวจำนวนมากมักเปิดแอปนี้เพื่อดูรีวิวก่อนตัดสินใจซื้อ ดังนั้นแบรนด์ที่สามารถสร้างภาพจำและได้รีวิวดีบนแอปนี้จะได้เปรียบมหาศาล
ที่สำคัญคือ Xiaohongshu ไม่ได้เข้าถึงแค่จีน แต่ครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้ภาษาจีนทั่วเอเชีย เช่น ไต้หวัน มาเลเซีย ฮ่องกง เวียดนาม และสิงคโปร์ ทำให้การลงทุนในแพลตฟอร์มเดียวเหมือน “ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว”
แม้ว่าปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวจากจีนจะลดลงไปบ้าง แต่ตลาดที่ใช้ภาษาจีนอื่นๆ อย่างเช่นไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย หรือสิงคโปร์ ก็กำลังโตเร็วมากไม่แพ้กัน บางประเทศมีอัตราการเดินทางมาไทยสูงจนน่าตกใจ เช่น ไต้หวันที่มีประชากร 23 ล้านคน แต่มาเที่ยวไทยถึง 2 ล้านคนต่อปี ซึ่งมีการใช้จ่ายเฉลี่ยสูงถึง 7,000 บาทต่อคนและต่อวัน ถือว่าเยอะมาก ๆ ในเชิงสัดส่วน และสิงคโปร์ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มาพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ในไทยมากขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนกัน
ถ้าอยากให้เขาซื้อสินค้าไทย ต้องรู้ว่าเขา “หาอะไร” และ “ไม่มีอะไร”
หัวใจของการตลาดท่องเที่ยววันนี้ ไม่ใช่แค่การขายของที่มีอยู่แล้ว แต่ต้องรู้ว่านักท่องเที่ยวกำลังหาอะไร และอะไรที่พวกเขาไม่มีในประเทศของตัวเอง และขายสิ่งนั้นให้เขา เช่นเดียวกันกับกลุ่ม LGBTQ ที่มาเที่ยวไทย อาจไม่ได้ต้องการแค่ทัวร์วัดหรือท่องเที่ยวทั่วไป แต่กำลังมองหาประสบการณ์สนุกๆ ในคอนเสิร์ตหรือปาร์ตี้ต่าง ๆ ดังนั้นถ้าแบรนด์ไทยจับพฤติกรรมให้แม่น ขายสิ่งที่เขาขาด และใช้ช่องทางที่เขาใช้ โอกาสในการโตในตลาดนักท่องเที่ยวก็อยู่ไม่ไกล