เมื่อ ‘พลังประมวลผล’ คือขุมทรัพย์ใหม่ ชาติไหนไม่มี อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ชวนทำความเข้าใจ ทำไม Sovereign AI ถึงสำคัญ
ขณะที่นานาประเทศกำลังแข่งขันกันเพื่อเป็นผู้นำด้าน AI ช่องว่างมหาศาลก็ได้เปิดกว้างขึ้น และแบ่งโลกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวแบ่งชัดนั่นก็คือ Data Center
ศูนย์ข้อมูล AI กระจุกตัวอยู่ไม่กี่แห่ง
มีเพียง 32 ประเทศ ส่วนใหญ่ในซีกโลกเหนือ ที่มีศูนย์ข้อมูลซึ่งเชี่ยวชาญด้าน AI โดย สหภาพยุโรปมี 28 แห่ง, สหรัฐอเมริกา 26 แห่ง, จีน 22 แห่ง, และประเทศอื่นๆ ในเอเชีย 25 แห่ง
เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI สวมหมวกนิรภัย รองเท้าบูท และเสื้อกั๊กสะท้อนแสงลงพื้นที่ตรวจดูความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ของบริษัทในรัฐเท็กซัส
โครงการมูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเซ็นทรัลพาร์คในนิวยอร์ก และมีโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติเป็นของตัวเองแห่งนี้ จะกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลางคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังที่สุดในโลกเมื่อสร้างเสร็จในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
ในเวลาไล่เลี่ยกัน Nicolás Wolovick ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติกอร์โดบาในอาร์เจนตินา กำลังดูแลสิ่งที่นับว่าเป็นหนึ่งในศูนย์คอมพิวเตอร์ AI ที่ทันสมัยที่สุดของประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในห้องดัดแปลงของมหาวิทยาลัย ที่เต็มไปด้วยสายไฟระโยงระยางเชื่อมต่อระหว่างชิป AI และเซิร์ฟเวอร์รุ่นเก่า
นี่คือสิ่งที่น่าจะเป็นเส้นแบ่งความเหลื่อมล้ำด้านเทคโนโลยีอย่างชัดเจน จนขนาด Nicolás Wolovick ถึงกับบอกว่า ประเทศเขากำลังจะพ่ายแพ้ต่อสงครามครั้งนี้ เพราะทุกอย่างกำลังถูกแบ่งแยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกอย่างกำลังถูกแบ่งแยกออกจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ เรากำลังจะพ่ายแพ้
ความเหลื่อมล้ำทาง AI คือ รอยแยกใหม่ของโลก
ปัญญาประดิษฐ์ได้สร้างความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลครั้งใหม่ขึ้นมา แบ่งแยกโลกระหว่างประเทศที่มีพลังประมวลผลสำหรับสร้างระบบ AI สุดล้ำกับประเทศที่ไม่มี
รอยแยกนี้กำลังส่งผลกระทบต่อภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก สร้างการพึ่งพาแบบใหม่ และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลังในสงครามเทคโนโลยีที่อาจพลิกโฉมเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนไปอย่างสิ้นเชิง
ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดคือ สหรัฐอเมริกา, จีน และสหภาพยุโรป ภูมิภาคเหล่านี้เป็นที่ตั้งของศูนย์ข้อมูลที่ทรงพลังที่สุดในโลกกว่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งใช้ในการพัฒนาระบบ AI ที่ซับซ้อนที่สุด จากข้อมูลของนักวิจัยมหาวิทยาลัย Oxford มีเพียง 32 ประเทศ หรือประมาณ 16% ของโลกเท่านั้น ที่มีโรงงานขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยไมโครชิปและคอมพิวเตอร์ หรือที่รู้จักกันในวงการว่า Compute Power
สหรัฐฯ และจีน ซึ่งครองโลกเทคโนโลยีอยู่แล้ว มีอิทธิพลอย่างยิ่ง บริษัทจากสองประเทศนี้ดำเนินกิจการศูนย์ข้อมูลที่บริษัท และสถาบันอื่นๆ ใช้สำหรับงานด้าน AI มากกว่า 90%
ในทางตรงกันข้าม ทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้แทบจะไม่มีศูนย์กลางคอมพิวเตอร์ AI เลย ขณะที่อินเดียมีอย่างน้อย 5 แห่ง และญี่ปุ่นมีอย่างน้อย 4 แห่ง เท่ากับว่ามีกว่า 150 ประเทศที่ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านนี้เลย
ศูนย์ข้อมูล AI ในปัจจุบันมีขนาดใหญ่กว่าในอดีตมาก ซึ่งเคยใช้สำหรับงานง่ายๆ อย่างอีเมลหรือสตรีมมิ่งวิดีโอ ศูนย์กลางเหล่านี้ทั้งใหญ่โต กินพลังงานมหาศาล และอัดแน่นไปด้วยชิปทรงพลัง มีต้นทุนก่อสร้างหลายพันล้านดอลลาร์และต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่ได้มีอยู่ทุกประเทศ ด้วยความเป็นเจ้าของที่กระจุกตัวอยู่กับยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีเพียงไม่กี่ราย ผลกระทบของช่องว่างระหว่างผู้ที่มีและไม่มีพลังประมวลผลจึงเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว
ระบบ AI ที่ถูกใช้งานมากที่สุดในโลก เช่น แชทบอท ChatGPT ของ OpenAI มีความสามารถและความแม่นยำสูงกว่าในภาษาอังกฤษ และภาษาจีน ซึ่งเป็นภาษาที่พูดกันในประเทศที่พลังประมวลผลกระจุกตัวอยู่
บรรดายักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีที่เข้าถึงอุปกรณ์ชั้นนำกำลังใช้ AI เพื่อประมวลผลข้อมูล ทำงานอัตโนมัติ และพัฒนาบริการใหม่ๆ การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ครั้งสำคัญ รวมถึงการค้นพบยาและการตัดต่อยีน ล้วนต้องอาศัยคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลัง อาวุธที่ขับเคลื่อนด้วย AI ก็กำลังถูกนำไปใช้ในสนามรบ
ประเทศที่มีพลังประมวลผล AI น้อยหรือไม่มีเลย กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการทำงานด้านวิทยาศาสตร์ การเติบโตของบริษัทใหม่ๆ และการรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ในประเทศ เจ้าหน้าที่บางคนเริ่มตื่นตระหนกว่าความต้องการทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาบริษัทและรัฐบาลต่างชาติมากเกินไป
ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเคยมีอิทธิพลต่อกิจการระหว่างประเทศ ในอนาคตอันใกล้ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ผู้ผลิตพลังประมวลผลก็อาจมีอิทธิพลในทำนองเดียวกัน เพราะพวกเขาควบคุมการเข้าถึงทรัพยากรที่สำคัญ
Vili Lehdonvirta ศาสตราจารย์จาก Oxford ผู้ทำวิจัยเรื่องศูนย์ข้อมูล AI กล่าว
พลังประมวลผล AI มีค่ามากเสียจนส่วนประกอบในศูนย์ข้อมูล เช่น ไมโครชิป ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของนโยบายต่างประเทศ และการค้าของจีนและสหรัฐฯ ซึ่งกำลังแย่งชิงอิทธิพลกันในอ่าวเปอร์เซีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และที่อื่นๆ
ในขณะเดียวกัน บางประเทศก็เริ่มทุ่มงบประมาณของรัฐเข้าสู่โครงสร้างพื้นฐาน AI โดยตั้งเป้าที่จะควบคุมอนาคตทางเทคโนโลยีของตนเองให้มากขึ้น
ช่องว่างทางเทคโนโลยีระหว่างประเทศร่ำรวย และประเทศกำลังพัฒนาไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนราคาถูก, การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่ขยายตัว และธุรกิจแอปพลิเคชันที่เฟื่องฟู ทำให้ผู้เชี่ยวชาญบางคนสรุปว่าช่องว่างนี้กำลังลดลง
แต่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่า ช่องว่างทางดิจิทัลจะยิ่งกว้างขึ้นหากไม่มีการดำเนินการเกี่ยวกับ AI มีบริษัทเพียง 100 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ และจีน ที่อยู่เบื้องหลังการลงทุนด้านเทคโนโลยีนี้ถึง 40% ของโลก และบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดกำลังเข้าควบคุมอนาคตของเทคโนโลยี
เมื่อ GPU กลายเป็นเหตุผลให้คนเก่งต้องทิ้งบ้านเกิด
ช่องว่างนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากส่วนประกอบที่ทุกคนต้องการ นั่นคือไมโครชิปที่เรียกว่าหน่วยประมวลผลกราฟิก หรือ GPU ซึ่งต้องใช้โรงงานมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ในการผลิต GPU เหล่านี้นับพันๆ ตัวถูกบรรจุอยู่ในศูนย์ข้อมูล และส่วนใหญ่ผลิตโดย Nvidia เพื่อให้พลังประมวลผลในการสร้างและส่งมอบโมเดล AI ที่ล้ำสมัย
การได้มาซึ่งชิปเหล่านี้เป็นเรื่องยาก เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้น ราคาก็พุ่งสูงขึ้น และทุกคนก็อยากอยู่หัวแถวของคิวสั่งซื้อ ซึ่งชิปเหล่านี้จะถูกนำไปติดตั้งใน Data Center ที่บริโภคน้ำ และพลังงานมหาศาล
หลายประเทศที่ร่ำรวยสามารถเข้าถึงชิปเหล่านี้ในศูนย์ข้อมูลได้ แต่ประเทศอื่นๆ กำลังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง การเช่าพลังประมวลผลจากศูนย์ข้อมูลที่อยู่ห่างไกลเป็นจึงเป็นทางออก แต่ก็แลกมาพร้อมกับความท้าทาย ทั้งต้นทุนที่สูง, ความเร็วในการเชื่อมต่อที่ช้าลง, การปฏิบัติตามกฎหมายที่แตกต่างกัน และความเปราะบางต่อการตัดสินใจของบริษัทอเมริกันและจีน
Qhala สตาร์ทอัพในเคนยา คือตัวอย่างของบริษัทที่ชัดเจน บริษัทนี้ก่อตั้งโดยอดีตวิศวกรของ Google กำลังสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ที่ใช้ภาษาแอฟริกัน แต่ Qhala ไม่มีพลังประมวลผลอยู่ใกล้ๆ และต้องเช่าจากศูนย์ข้อมูลนอกทวีปแอฟริกา
พนักงานต้องเร่งทำงานในช่วงเช้า ซึ่งเป็นเวลาที่โปรแกรมเมอร์ชาวอเมริกันส่วนใหญ่กำลังนอนหลับ เพื่อให้มี traffic ของข้อมูลน้อยลง และสามารถถ่ายโอนข้อมูลข้ามโลกได้เร็วขึ้น นี่เป็นหนึ่งในอีกหลายเหตุผลว่า ทำไมแต่ละประเทศควรมี Data Center เป็นของตนเอง
ยุค AI มีความเสี่ยงที่จะทำให้แอฟริกายิ่งล้าหลังมากขึ้น
Brad Smith ประธานของ Microsoft กล่าวว่าหลายประเทศต้องการโครงสร้างพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่มากขึ้นเพื่อเป็นรูปแบบหนึ่งของ อธิปไตยทางเทคโนโลยี แต่การลดช่องว่างนี้เป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะในแอฟริกาที่หลายแห่งยังไม่มีไฟฟ้าที่สามารถชื่อถือได้
ช่องว่างนี้ได้นำไปสู่ปัญหาสมองไหลในอาร์เจนตินา หนึ่งในคนที่เจอปัญหาก็คือ Wolovick ที่ตัวเขาเองไม่สามารถให้การประมวลผลที่ทรงพลังให้แก่นักเรียนได้ นักเรียนที่เก่งที่สุดของเขามักจะย้ายไปสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป ที่ซึ่งพวกเขาสามารถเข้าถึง GPU ได้
เมื่อโลกถูกแบ่งเป็นสองค่าย ทางเลือกมากมายอาจไม่มีนัก
การกระจายตัวที่ไม่เท่าเทียมกันของพลังประมวลผล AI ได้แบ่งโลกออกเป็นสองค่าย ได้แก่ ชาติที่พึ่งพาจีน และชาติที่พึ่งพาสหรัฐอเมริกา
ทั้งสองประเทศไม่เพียงแต่ควบคุมศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ แต่ยังมีแผนจะสร้างเพิ่มอีกมหาศาล และพวกเขาได้ใช้อำนาจทางเทคโนโลยีเพื่อแผ่อิทธิพล
รัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งในสมัยไบเดนและทรัมป์ได้ใช้ข้อจำกัดทางการค้าเพื่อควบคุมว่าประเทศใดสามารถซื้อชิป AI ทรงพลังได้บ้าง ขณะที่จีนใช้เงินกู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐเพื่อกระตุ้นการขายอุปกรณ์เครือข่ายและศูนย์ข้อมูลของบริษัทตนเอง
ผลกระทบเห็นได้ชัดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ในช่วงทศวรรษ 2010 บริษัทจีนได้รุกคืบเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีของซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐฯ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ สหรัฐฯ ได้ใช้ความได้เปรียบด้าน AI เพื่อผลักดันกลับ โดยในข้อตกลงกับรัฐบาลไบเดน บริษัทจากเอมิเรตส์สัญญาว่าจะไม่ใช้เทคโนโลยีของจีนเพื่อแลกกับการเข้าถึงเทคโนโลยี AI จาก Nvidia และ Microsoft
แม้แต่ประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐฯ ก็ยังถูกกีดกันออกจากการแข่งขัน AI ด้วยข้อจำกัดทางการค้า ซึ่งสิ่งนี้ได้เปิดช่องให้จีนเข้ามา แม้ว่าชิป AI ของจีนจะถูกมองว่ายังไม่ล้ำหน้าเท่าก็ตาม
การดิ้นรนเพื่อ "Sovereign AI"
ด้วยความตื่นตัวต่อการกระจุกตัวของอำนาจ AI หลายประเทศและภูมิภาคกำลังพยายามลดช่องว่างนี้ ด้วยการเสนอที่ดินและพลังงานราคาถูก, เร่งรัดใบอนุญาตก่อสร้าง และใช้งบประมาณของรัฐเพื่อจัดหาชิปและสร้างศูนย์ข้อมูล เป้าหมายคือการสร้าง Sovereign AI หรือ AI แห่งชาติ ที่ธุรกิจและสถาบันในท้องถิ่นสามารถเข้าถึงได้
ในอินเดีย รัฐบาลกำลังอุดหนุนพลังประมวลผลและการสร้างโมเดล AI ที่เชี่ยวชาญในภาษาของประเทศ ในแอฟริกา รัฐบาลต่างๆ กำลังหารือถึงความร่วมมือในการสร้างศูนย์ประมวลผลระดับภูมิภาค บราซิลได้ให้คำมั่นว่าจะลงทุน 4 พันล้านดอลลาร์ในโครงการ AI
แทนที่จะรอให้ AI มาจากจีน สหรัฐฯ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ทำไมเราไม่สร้างของเราเองล่ะ ?
Luiz Inácio Lula da Silva ประธานาธิบดีบราซิลกล่าวเมื่อปีที่แล้ว
แม้แต่ในยุโรป ก็มีความกังวลเพิ่มขึ้นว่าบริษัทอเมริกันควบคุมศูนย์ข้อมูลส่วนใหญ่ ในเดือนกุมภาพันธ์ สหภาพยุโรปได้เปิดเผยแผนการลงทุน 2 แสนล้านยูโรสำหรับโครงการ AI รวมถึงศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ทั่วทั้ง 27 ชาติสมาชิก
ถึงกระนั้น การจะลดช่องว่างนี้ได้ก็ยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาหรือจีน
Cassava บริษัทเทคโนโลยีที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐีชาวซิมบับเว มีกำหนดจะเปิดศูนย์ข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของแอฟริกาในฤดูร้อนนี้ โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามมูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ในการสร้างโรงงานดังกล่าว 5 แห่งทั่วแอฟริกา แต่ถึงอย่างนั้น Cassava คาดว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการ AI ของภูมิภาคได้เพียง 10% ถึง 20% เท่านั้น
"ผมไม่คิดว่าแอฟริกาสามารถจะปล่อยให้อธิปไตยทาง AI นี้ไปอยู่ในมือของคนอื่นได้" Hardy Pemhiwa ซีอีโอของ Cassava กล่าว "เราต้องมุ่งเน้นและทำให้แน่ใจว่าเราจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง"
เอกชนไทยเริ่มขยับสร้าง 'อธิปไตยทางข้อมูล'
สำหรับประเทศไทย กระแสความตื่นตัวเรื่อง Sovereign AI และ อธิปไตยทางข้อมูล (Data Sovereignty) เริ่มเด่นชัดขึ้นในภาคเอกชน ซึ่งมองเห็นความสำคัญของการมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเป็นของตนเอง เพื่อลดการพึ่งพาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ตัวอย่างที่สำคัญคือการที่ AIS ผู้ให้บริการเครือข่ายรายใหญ่ ได้จับมือกับ Oracle ยักษ์ใหญ่ด้านคลาวด์จากสหรัฐฯ เพื่อพัฒนาHyperscale Cloud พร้อม Local Data Center ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย และบริหารจัดการโดยคนไทยเต็มรูปแบบ
ความเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นการตอบโจทย์ความกังวลขององค์กรไทย ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ต้องการประมวลผลข้อมูลมหาศาลเพื่อใช้ในงาน AI แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ข้อมูลสำคัญของตนถูกจัดเก็บและดูแลภายใต้กฎหมายของไทย
ผู้บริหารของ AIS ย้ำว่าโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ดำเนินการโดยคนไทยคือหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ซึ่งการมีคลาวด์สัญชาติไทยจะช่วยลดอุปสรรคให้องค์กรต่างๆ เช่น การทำสัญญาและการชำระเงินที่เป็นสกุลเงินบาท ทำให้ไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน พร้อมทั้งมีทีมงานคนไทยคอยให้การสนับสนุนโดยตรง
ความพยายามดังกล่าว ยังได้รับการรับรองมาตรฐานจากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นจากภาครัฐ และเป็นสัญญาณว่าประเทศไทยกำลังพยายามวางรากฐานเพื่อที่จะไม่ต้องเป็นเพียง 'ผู้ใช้' เทคโนโลยี แต่ตั้งเป้าที่จะเป็น 'ผู้สร้าง' และมีอำนาจในการควบคุมอนาคตทางดิจิทัลของตนเอง
แต่คำถามสำคัญที่ตามมาคือ การเคลื่อนไหวของภาคเอกชนครั้งนี้จะเพียงพอหรือไม่ และภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทเชิงรุกอย่างไร เพื่อให้ไทยไม่ตกขบวน และถูกทิ้งไว้ข้างหลังในสงครามเทคโนโลยีครั้งนี้ ?
อ้างอิง : New York Times