สรท. ยื่นข้อเสนอรัฐบาลรับมือ “ภาษีสหรัฐ” ลดเท่าเวียดนาม เสนอ 3 มาตรการปกป้องส่งออก 2 ล้านลบ.
สรท. ยื่นข้อเสนอรัฐบาลรับมือ "ภาษีสหรัฐ" ลดเท่าเวียดนาม ชี้หากปล่อยไว้จะกระทบส่งออกไทยกว่า 2 ล้านล้านบาท เสี่ยงกระทบแรงงาน-เกษตรกร-การลงทุนในวงกว้าง
วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) หรือสภาผู้ส่งออก จัดส่งข้อเสนอแนะแนวทางการเจรจาและมาตรการรับมือกรณีสหรัฐเตรียมเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) จากไทยในอัตรา 36% ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.68 ไปให้กระทรวงพาณิชย์ และทีมไทยแลนด์นำไปใช้ในการเจรจาต่อรอง โดยหวังผลเจรจาต่อรองจะสามารถลดการเรียกเก็บภาษีในอัตราไม่เกิน 20% เท่ากับประเทศคู่แข่ง
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธาน สรท. กล่าวว่า "เราได้ส่งข้อเสนอแนะไปให้ทางกระทรวงพาณิชย์ที่เป็นฝ่ายปฏิบัติการ และทีมไทยแลนด์ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เป็นหัวหน้าทีม เป็นเรื่องที่ท้าทายและหวังว่าครั้งนี้จะสามารถปิดดีลได้เรียบร้อยภายในวันที่ 1 ส.ค.68 เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันได้"
เนื่องจากสินค้าไทยที่ส่งไปสหรัฐจะถูกเรียกเก็บในอัตรา 36% สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้ต้นทุนส่งออกสินค้าไทยไปยังสหรัฐสูงขึ้นจนไม่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งจะกระทบการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐที่มีมูลค่าราว 2 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของการส่งออกทั้งหมดของประเทศไทย
โดยสินค้าที่ไทยจะเสียเปรียบคู่แข่งมากที่สุด ประกอบด้วย เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาหารสำเร็จรูป ข้าว ยางพาราและผลิตภัณฑ์ และสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น เป็นต้น ซึ่งหลายอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้นที่อาจนำไปสู่การเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก รวมถึงสินค้าเกษตรหลายรายการจะไม่สามารถแข่งขันได้ จะมีผลให้เกิดแรงกดดันต่อราคาผลผลิตภายในประเทศและกระทบต่อรายได้เกษตรกรและครัวเรือนไทยจำนวนมากในที่สุด ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่ปัญหาจะขยายวงกว้างออกไปไม่เพียงแต่ภาคการผลิตเพื่อส่งออกเท่านั้น แต่การลงทุนจากต่างประเทศจะลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีต่อจากนี้ ซึ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจในประเทศเกิดภาวะชะงักงัน และไม่สามารถแข่งขันทางการค้ากับคู่แข่งสำคัญได้อีกในระยะยาว
ด้านนายสุภาพ สุวรรณพิมลกุล รองประธาน สรท. กล่าวว่า การเจรจาเรื่องนี้คงต้องใช้เวียดนามโมเดลที่สามารถปิดดีลไปได้แล้ว ดังนั้นในการเจรจารอบนี้จะต้องให้ได้ข้อยุติ เพราะคงไม่มีโอกาสที่จะเจรจารอบที่สามอีกแล้ว การต่อรองครั้งนี้เพื่อแลกกับยอดเกินดุล 4 หมื่นล้านดอลลาร์ถือว่าคุ้มค่า เพราะจะครอบคลุมทั้งเรื่องการค้าและการลงทุน ถึงแม้จะมีผู้ที่ได้รับผลกระทบตามมาก็ตาม แต่ภาครัฐก็ต้องมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่อไป
"หากเราถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าคู่แข่ง นักลงทุนก็จะย้ายไปที่อื่น ทั้งที่เป็นรายใหม่และรายเดิม" นายสุภาพ กล่าว
หากภาครัฐให้การสนับสนุนผู้ประกอบการในเรื่องสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่อง ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ แม้การผลิตจะไม่มีกำไรหรือขายขาดทุน แต่ยังสามารถหล่อเลี้ยงให้เกิดการจ้างงาน และรักษาออเดอร์เอาไว้
"ถ้ามีสายป่านยาวพอที่จะเลี้ยงธุรกิจให้ไปต่อได้ก็เป็นอีกทางออกหนึ่งที่สำคัญ" นายสุภาพ กล่าว
นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สรท. กล่าวว่า กรณีนี้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ไม่ใช่แค่เรื่องการส่งออกเท่านั้น แต่จะกระทบไปถึงเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น การจ้างงาน การลงทุน ถึงแม้ประธานาธิบดีทรัมป์จะหมดวาระการดำรงตำแหน่งไปแล้วก็ตาม ปัญหาก็ไม่ได้หมดไปทันที
"การเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยในวงกว้าง ทั้งด้านการค้าการลงทุน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นฟูอย่างน้อย 5-10 ปี" นายคงฤทธิ์ กล่าว
สำหรับข้อเสนอของ สรท.ครั้งนี้ประกอบด้วย
1. ข้อเสนอสำหรับการเจรจาลดอัตราภาษีกับสหรัฐ
- สนับสนุนการปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกาเป็น 0% ให้มากที่สุด โดยเฉพาะในรายการสินค้าที่ไทยสามารถยอมรับได้
- ขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนสำหรับการลงทุนทางตรง (FDI) จากสหรัฐฯ
- เร่งจัดซื้อสินค้ากลุ่มพลังงานจากสหรัฐฯ ให้มากขึ้นแทนการซื้อจากแหล่งอื่น
2. ข้อเสนอสำหรับการหาตลาดศักยภาพอื่นทดแทน
- สนับสนุนงบประมาณในปี 2569-2570 สำหรับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในต่างประเทศ อาทิ การพาผู้ประกอบการไปเข้าร่วมออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ และการจัดกิจกรรม Business Matching และในประเทศ อาทิ กิจกรรม Incoming Mission ให้มากขึ้นและต่อเนื่อง
- เพิ่มงบประมาณโครงการ SMEs Proactive ให้ผู้ประกอบการส่งออก SMEs สามารถบุกตลาดอื่นได้มากขึ้น โดยเฉพาะในงานแสดงสินค้าที่ภาครัฐไม่สามารถพาผู้ประกอบการไทยไปเข้าร่วม
- ร่วมมือกับสถาบันการเงินของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับจัดหาวงเงินหมุนเวียนและสนับสนุนค่าธรรมเนียมป้องกันความเสี่ยงทางการค้าในการบุกตลาดใหม่ และ 2.4) เร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีทุกกรอบที่อยู่ระหว่างการเจรจาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมถึงเพิ่มเติมการเจรจากับคู่ค้าสำคัญอื่นเพิ่มเติม และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. ข้อเสนออื่นเพิ่มเติม เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออก และเพื่อปกป้องผู้ประกอบการในประเทศจากการนำเข้าสินค้าแหล่งอื่น
3.1 ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน พิจารณาเงื่อนไขการปรับลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ
- เร่งหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดต้นทุนและบรรเทาภาระหนี้จากการประกอบธุรกิจ และดำเนินมาตรการกำกับดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับอ่อนค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งสำคัญ เป็นต้น
- พิจารณาชะลอการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำและปรับลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ อาทิ ค่าไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง และต้นทุนโลจิสติกส์เพื่อการส่งออก
- พิจารณานำต้นทุนค่าขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งการนำเข้าวัตถุดิบและการส่งออกสินค้า อาทิ ค่าระวาง ค่าประกันภัยการขนส่งสินค้า และค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่ม หักภาษีได้ 200% จากที่จ่ายจริง
- เร่งรัดกระบวนการคืนภาษีธุรกิจ อาทิ ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรวัตถุดิบนำเข้าที่ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ภาษีสรรพสามิตที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกสินค้า เป็นต้น รวมถึงการลดค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นจากการขออนุญาตและการดำเนินการในขั้นตอนการส่งออกให้กับผู้ประกอบการ พร้อมทั้งพัฒนาระบบ Digitalization ตลอดกระบวนการส่งออกนำเข้าให้มีความสมบูรณ์
3.2 เพิ่มความเข้มงวดมาตรการปรามการนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาตีตลาดในประเทศ และสินค้าสวมสิทธิ์
- เริ่มบังคับใช้กฎ 24 Hours Rule เพื่อให้สินค้าที่จะส่งออกมายังประเทศไทย ต้องแจ้งข้อมูลล่วงหน้า 24 ชั่วโมง ก่อนบรรทุกสินค้าลงเรือ ณ ท่าเรือต้นทาง
- ตรวจสอบสินค้านำเข้า และสินค้าที่ผ่านเขตปลอดอากร 100% เพื่อป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพเข้าประเทศ เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก และเพื่อป้องกันสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานที่กำหนดโดยประเทศปลายทางแล้วตกค้างในประเทศไทย
- เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้าและคัดกรองสินค้าด้อยคุณภาพ เพื่อคุ้มครองทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในประเทศ โดยสินค้านำเข้าและโรงงานผู้ผลิตต้องได้รับการรับรองมาตรฐานของประเทศไทยก่อนบรรทุกลงเรือมายังประเทศไทย
- ผู้ส่งออกจากต่างประเทศที่ขายสินค้าผ่านช่องทาง E-Commerce Platform ต้องระบุตัวตนและตรวจสอบโดย Platform ให้ชัดเจน และไม่มีร้านค้าที่ขายสินค้ารายการเดียวกันซ้ำซ้อนกัน เป็นต้น