ปลาหมอคางดำ กินพืชเป็นส่วนใหญ่ รู้จักใหม่ "ผู้ร้ายจำเป็น" ในน้ำกร่อย
เสียงตัดสินเหล่านี้อาจทำให้สังคมเข้าใจผิดและตื่นตระหนกเกินเหตุ แต่เมื่อย้อนกลับมามองด้วยข้อมูลวิชาการจะเห็นภาพที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
งานวิจัยโดยคุณทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพ กรมประมง ชี้ให้เห็นว่า ปลาหมอคางดำมีธรรมชาติที่ต่างจากสิ่งที่หลายคนเข้าใจผิดมาโดยตลอด เริ่มจากโครงสร้างทางกายภาพที่สำคัญอย่าง “ลำไส้” ที่ยาวมาก โดยเฉพาะในปลาขนาด 15–20 เซนติเมตร ซึ่งมีลำไส้ยาวกว่าความยาวลำตัวถึงเกือบ 7 เท่า ลักษณะนี้เป็นดัชนีสำคัญของสิ่งมีชีวิตที่บริโภคพืชเป็นหลัก
เป็นไปตามข้อมูลเชิงวิชาการที่แบ่งประเภทของปลาตามลักษณะพฤติกรรมการกินอาหารได้ 3 กลุ่ม คือ
1.) ปลากินพืช (Herbivorous fish) ลำไส้จะยาวมากกว่าความยาวลำตัวหลายเท่า โดยทั่วไปอยู่ที่ 4–10 เท่า ของความยาวลำตัว หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณเส้นใยในอาหาร
2.) ปลากินสัตว์ (Carnivorous fish) ลำไส้จะสั้นกว่ามาก โดยปกติจะยาวเพียง 0.5–2 เท่า ของความยาวลำตัวเท่านั้น เพราะโปรตีนสัตว์ย่อยง่าย ใช้ลำไส้ไม่ยาว
3.) ปลากินทั้งพืชและสัตว์ (Omnivorous fish) ลำไส้จะอยู่ระหว่างกลาง ประมาณ 1.5–4 เท่า ของความยาวลำตัว ดังนั้น เมื่อปลาหมอคางดำมีลำไส้ยาวถึง เกือบ 7 เท่า ของลำตัวในช่วงอายุที่โตเต็มที่ ก็เป็นหลักฐานที่หนักแน่นว่า มันเป็นปลาที่มีลักษณะกินพืชเป็นหลัก มากกว่าที่จะเป็นสัตว์กินเนื้อ
ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาชิ้นนี้ยังได้วิเคราะห์องค์ประกอบอาหารภายในลำไส้ของปลาหมอคางดำที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติหลายจุด เช่น แม่น้ำสวี จังหวัดชุมพร คลองท่าครก จังหวัดระยอง และพื้นที่ป่าชายเลนบางตะบูนนอก จังหวัดเพชรบุรี ผลการวิเคราะห์พบว่า องค์ประกอบของอาหารภายในลำไส้ถึง 94% เป็นพืชน้ำ แพลงก์ตอนพืช และสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่สัตว์นักล่า ขณะที่สัตว์น้ำอย่างกุ้ง หอย ปู หรือแมลงตัวเต็มวัยมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กล่าวได้ว่าปลาหมอคางดำ “กินพืชเป็นหลัก” และไม่ได้มีพฤติกรรมการล่า หรือกินลูกสัตว์น้ำตามที่มีความเชื่อผิด ๆ กันในวงกว้าง ความเข้าใจผิดเหล่านี้มักเกิดจากการพบว่า ปลาในบ่อเพาะเลี้ยงมีเศษกุ้งหรือปลาขนาดเล็กอยู่ในลำไส้ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นผลจากพฤติกรรมการ “ปรับตัว” มากกว่าพฤติกรรมดั้งเดิม
ข้อเท็จจริงอีกประการที่ควรรับรู้คือ การแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในแหล่งน้ำธรรมชาติหลายแห่งของไทย ส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้นโดยกระบวนการตามธรรมชาติ แต่เป็นผลจาก“การกระทำของมนุษย์” ทั้งโดยตั้งใจ เช่น การนำไปทดลองเลี้ยง และโดยไม่ตั้งใจ เช่นการปะปนมากับพันธุ์สัตว์น้ำอื่น หรือการนำปลาไปทำปลาเหยื่อ
ปลาปรับตัวได้ดี มนุษย์เราก็ควรกำจัดปลาหมอคางดำด้วยการพิจารณาถึงศักยภาพในการใช้ประโยชน์จากปลาชนิดนี้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งที่ผ่านมากรมประมงได้ทดลองนำปลาหมอคางดำไปแปรรูปเป็น“หมอหมัก” สำหรับทำเป็นอาหารสัตว์น้ำ พบว่าใช้ได้ผลดี และยังสามารถนำเนื้อปลาสดไปเลี้ยงปูทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเนื้อแน่น คงรูปดี และมีราคาถูก ช่วยลดต้นทุนได้อย่างชัดเจน
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่สามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย หากผ่านการเตรียมที่ถูกสุขลักษณะ เนื้อปลาสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย ทั้งทอด ต้ม นึ่ง หรือทำปลาแดดเดียว ทำน้ำปลา ปลาร้า โดยไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าปลาชนิดนี้มีสารพิษหรืออันตรายต่อผู้บริโภคเลย
การเข้าใจผิดคือจุดเริ่มต้นของการตีตรา หากไม่ย้อนกลับมามองข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผล ก็อาจพลาดโอกาสในการอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่กำลังหาทางปรับตัวอยู่กับเราอย่างสงบ ปลาหมอคางดำไม่ใช่ศัตรู และไม่ใช่ปลามลพิษ มันคือปลาชนิดหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าหากช่วยกันมองด้วยใจที่เปิดกว้างบนข้อมูลที่ถูกต้อง
บทความโดย : วงษ์อร อร่ามกูล นักวิชาการด้านสัตว์น้ำ