ไทยแลกอะไรบ้างในดีลภาษีสหรัฐฯ ฟัง ‘พิชัย ชุณหวชิร’ รมว.คลัง สรุปการเจรจากับสหรัฐฯ หลังทรัมป์ประกาศอัตราภาษีนำเข้า
แม้ตัวเลขจะออกมาแล้วว่าภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากประเทศไทยในอัตรา 19% ซึ่งถือว่าลดลงจากประกาศเดิมที่ 36% แม้บางประเทศจะได้ตัวเลขที่ต่ำกว่านี้แต่ ‘พิชัย ชุณหวชิร’ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ช่วงหนึ่งในรายการกรรมกรข่าวคุกนอกจอ ว่า ‘เป็นตัวเลขที่อยู่ในจุดที่แข่งขันได้’
พิชัย กล่าวว่าแท้จริงแล้ว คาดหวังว่าถ้าได้น้อยกว่านี้ก็ดี แต่ถ้าน้อยไปกว่านี้ก็จะมีส่วนได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างประเทศที่ต่างกัน คนที่ได้มากกว่าก็จะขายของไม่ได้ ดังนั้นจึงเข้าใจว่าเป้าประสงค์ของคนที่ให้ (สหรัฐฯ) ต้องการให้เกาะกลุ่มกันเป็นพรรคพวก
.
คำถามที่น่าสนใจคือในการเจรจาครั้งนี้ไทยมีข้อเสนออะไรให้กับสหรัฐฯ บ้าง?
พิชัย ระบุว่า ของที่สหรัฐฯ ส่งมาที่ไทยจะขอเป็นภาษีนำเข้า 0% ส่วนอีกข้อคือ ต้องการรายการเยอะๆ ซึ่งโดยปกติแล้วไทยมีการเซ็นสัญญาการค้า เช่น Free Trade Area (FTA) หรือเขตการค้าเสรี กับหลายประเทศอยู่แล้ว เช่น ประเทศออสเตรเลีย
“ถามว่าเราเสียอะไร ถ้าเราดูดีๆ ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการค้าขายกับประเทศอื่นๆ ยกเว้นสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนกฎเกณฑ์อะไรกัน ก็มีการเซ็นสัญญาประเภทนี้อยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงให้สหรัฐฯ (0%) เหมือนกับที่เคยให้ออสเตรเลีย” พิชัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างออสเตรเลียกับสหรัฐฯ คือ ออสเตรเลียก็ลดภาษีนำเข้าให้ไทยที่ 0% เช่นกัน ขณะที่สหรัฐฯ เรียกเก็บไทยที่ 19% ซึ่งพิชัยอธิบายประเด็นนี้ว่า หากเขาส่งเข้ามาในประเทศไทยที่ 0% แปลว่าต้นทุนต่ำ ผู้บริโภคในประเทศไทยก็จะซื้อของได้ในราคาถูก หากเราส่งของไปสหรัฐฯ ในอัตรา 19% แปลว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะต้องซื้อของแพงกว่า 19%
“มีข้อเสียอยู่ข้อหนึ่งที่ หากของที่เขาเอาเข้ามาเป็นสิ่งที่เราผลิตไม่ได้อันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนอีกพวกหนึ่งคือของที่เราผลิตได้แต่ไม่พอ ดังนั้นส่วนที่นำเข้ามาก็จะมีต้นทุนที่ถูกกว่าเรา ทำให้มีปัญหากับผู้ผลิตในประเทศไทย ดังนั้น เราจึงให้ 0% ทันทีในบางรายการ แต่บางตัวเราก็ขอเวลาเพิ่ม เช่น ขอเวลา 5 ปี ก่อนจะปรับไปที่ 0%” พิชัยกล่าว
รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง บอกว่า ประเทศไทยได้เสนอรายการสินค้าให้สหรัฐฯ นำเข้าผลิตภัณฑ์ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- ของที่ประเทศไทยไม่มี
- ของที่ประเทศไทยผลิตมาไม่เพียงพอ
- ของที่มีรายการที่ซื้อจากประเทศอื่นอยู่แล้ว ซึ่งในที่นี้ไม่มีในสหรัฐฯ โดยเป็นอีกหนึ่งข้อเสนอที่ไทยใส่เข้าไปในรายการสินค้าเพื่อให้ดูเหมือนว่ามีรายการเยอะขึ้น เช่น ลำไย ในสหรัฐฯ ไม่ได้มีการปลูกลำไย แต่ไทยก็ใส่ไปในรายการเพื่อให้ดูเยอะขึ้น ซึ่งนับรวมๆ แล้วก็อยู่ในหมื่นรายการที่เสนอไป
ความกังวลเรื่องอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ข้าวโพด และเนื้อหมู
พิชัยกล่าวถึงกรณีของข้าวโพด ที่จำเป็นต้องใช้ทำอาหารสัตว์ โดยปัจจุบันประเทศไทยผลิตไม่พอ และมีการนำเข้าจากประเทศอื่น ซึ่งในกรณีนี้ประเทศไทยได้คุยกับผู้ผลิตไทยว่า ทุกวันนี้เขาสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้อีก 30% แต่ในกรณีนี้ต้นทุนจากสหรัฐฯ จะถูกกว่าไทย
พิชัยกล่าวต่อว่า ดังนั้นจึงใช้การต่อรองเป็นระบบโควต้า เช่น ให้มีการส่งผลิตภัณฑ์เข้ามาโดยไม่ผ่านการเผา หากเผามาจะไม่รับ และเฉลี่ยมาซื้อจากสหรัฐฯ บางส่วน โดยจะมุ่งซื้อของจากผู้ผลิตไทยทั้งหมดก่อนและจึงรับจากสหรัฐฯ ในส่วนที่เหลือ
ส่วนประเด็นเรื่องเนื้อหมู ซึ่งพิชัยบอกว่า จะต้องมีกติกาโดยจะให้เปอร์เซ็นต์ในการนำเข้ากับสหรัฐฯ ในจำนวนที่น้อยมาก และมีการตรวจที่มาของเนื้อด้วย
เขาย้ำว่า ยังจะต้องปกป้องสินค้าเกษตรบางตัว เช่น ข้าวโพด, SMEs บางตัว และสินค้าอุตสาหกรรมบางตัว ซึ่งทางสหรัฐฯ มีการลงทุนสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในไทยและส่งกลับไปที่สหรัฐฯ ซึ่งต้องแยกเจรจา และเราพยายามยื้อให้สหรัฐฯ ยังอยู่กับเรา เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ฝีมือ
พลังงาน / ปิโตรเคมี / เครื่องบิน คือ สิ่งที่ไทยซื้อจากสหรัฐฯ
พิชัยบอกว่านอกจากสินค้าการเกษตรแล้ว ประเทศไทยจะนำเข้าในสิ่งที่เราอยากซื้อ และดูว่ามีรายการอะไรบ้างที่สหรัฐฯ อยากขาย เช่น พลังงาน และปิโตรเคมี โดยพลังงานอย่างน้ำมันซึ่งปัจจุบันไทยนำเข้ากว่า 90% ดังนั้นโอกาสที่เราจะซื้อเราซื้อจากทั่วโลกอยู่แล้ว จึงแค่เพิ่มการโฟกัสไปที่สหรัฐฯ มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีใหม่ที่เป็นการเจาะเอาน้ำมันจากหิน ซึ่งต้นทุนถูกมาก และไทยได้เซ็นสัญญาแรกไปแล้วพร้อมจะจัดส่งปีหน้า ซึ่งเป็นของที่เราอยากได้เพราะจะช่วยให้ค่าไฟในเมืองไทยถูกลงด้วย
ส่วนอีกกรณีที่เราจะซื้อจากสหรัฐฯ คือ เครื่องบิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องซื้ออยู่แล้ว และมีการพิจารณาแล้วว่าจะซื้อเครื่องบิน Boeing และจะเริ่มทยอยซื้อ โดยเน้นที่สหรัฐฯ มากขึ้น