สำรวจหลักสำคัญการสื่อสารจากรัฐบาล ในช่วงเวลาสงครามข่าวสาร ที่ประชาชนต้องการ ‘ความจริง’
ในยามสงคราม ‘ความจริง’ มักเป็นสิ่งแรกๆ ที่ตกเป็นเหยื่อของการบิดเบือน แล้วในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งเปิดฉากปะทะตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2568 รัฐบาลไทยซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบหลักในการจัดการวิกฤตและเป็นตัวกลางสื่อสารกับประชาชน ได้นำเสนอ "ความจริง" อย่างรวดเร็วและเพียงพอแล้วหรือยัง?
ความกังวลแผ่ขยายไปในทุกหย่อมหญ้า ไม่เพียงแต่ในหมู่ผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงในพื้นที่ชายแดน แต่ยังรวมถึงประชาชนทั่วประเทศที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด และสิ่งที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้กันคือ ‘ข่าวสาร’ ในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีทั้งข้อเท็จจริง และข่าวปลอมปะปนกันไป รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือสร้างข้อมูลและภาพบิดเบือน ซึ่งยิ่งเพิ่มความท้าทายในการสื่อสาร
เมื่อสถานการณ์ยืดเยื้อ ความอึดอัดคับข้องใจในหมู่ประชาชนก็ทวีคูณ เนื่องจากข้อมูลข่าวสารยังคงกระจัดกระจาย ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงแหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือ เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ เช่น รัฐบาล ฝ่ายค้าน กระทรวง และกองทัพ ต่างออกมาแถลงแยกส่วนกันไป ขาดการสื่อสารที่เป็นหนึ่งเดียวและทันท่วงที นี่คือความท้าทายสำคัญที่รัฐบาลไทยต้องเผชิญในการสร้างความไว้วางใจและควบคุมการรับรู้ข่าวสารในภาวะวิกฤต
The MATTER ชวนสำรวจการสื่อสารของรัฐบาลไทยในช่วงวิกฤตการณ์ชายแดน โดยมุ่งเน้นที่ความสามารถในการให้ข้อมูลที่จำเป็นแก่ประชาชน เพื่อสร้างความเข้าใจ ลดความสับสน และรักษาความเชื่อมั่นของสาธารณะไว้ได้ท่ามกลางกระแสข้อมูลที่ถาโถมจากทุกทิศทาง
สื่อสารอย่างไร ในความขัดแย้ง
ในช่วงเวลาที่เกิดความรุนแรง และข้อมูลเท็จจำนวนมากในโลกออนไลน์ การมีวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมจึงอาจช่วยเรียกคืนความไว้วางใจนี้ได้ โดยหลักการสำคัญที่สรุปได้จากงานวิจัยหลากหลายชิ้น ได้แก่
โปร่งใสและน่าเชื่อถือ เพราะความไว้วางใจคือรากฐานสำคัญของการสื่อสารที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต รัฐบาลจำเป็นต้องแสดงความโปร่งใสและรับผิดชอบด้วยการเปิดเผยข้อมูลเชิงรุกและตรงไปตรงมา การสร้างความเชื่อมั่นนี้ควรเริ่มต้นและรักษาไว้อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤต เพราะหากประชาชนขาดความเชื่อมั่นตั้งแต่ต้น รัฐบาลจะต้องเผชิญความท้าทายในการสร้างความร่วมมือ เนื่องจากประชาชนอาจตั้งคำถามและหันไปหาแหล่งข้อมูลอื่นแทน รวดเร็ว ถูกต้อง และสอดคล้อง โดยรัฐบาลควรเป็นผู้ให้ข้อมูลคนแรกเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน แน่นอนว่าความถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่ความรวดเร็วก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน นอกจากนี้ ทุกหน่วยงานจะต้องประสานงานกันเพื่อให้ข้อมูลไปในทิศทางเดียวกัน หากรัฐบาลไม่สามารถให้ข้อมูลที่ทันท่วงทีและเพียงพอ อาจเกิดความสับสนและนำไปสู่การพัฒนาเป็นข่าวลือหรือข่าวปลอมที่แพร่กระจายไปทั่ว จัดการข่าวปลอม ในช่วงวิกฤต เมื่อข่าวลือและข่าวปลอมมักแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว รัฐบาลจึงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและตอบสนองอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการเผยแพร่ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว มีส่วนร่วมและรับฟัง เพราะการมีส่วนร่วมกับสาธารณชน โดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดีย จะช่วยให้การตอบสนองของรัฐบาลดูเป็นมนุษย์มากขึ้น รัฐบาลควรพร้อมที่จะรับฟังประชาชนและตอบสนองต่อข้อสงสัย ข้อคิดเห็น หรือการขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ เป็นผู้นำที่น่าไว้วางใจ โดยผู้ให้ข้อมูลหลักควรเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ มีความมั่นใจ และสื่อสารด้วยความเห็นอกเห็นใจ พร้อมข้อความที่ถูกต้องและชัดเจน ทีมงานภายในต้องได้รับข้อมูลและประสานงานกันเป็นอย่างดี เพื่อป้องกันข้อมูลที่อาจขัดแย้งกันเอง เนื่องจากความไม่สอดคล้องกัน หรือการที่คนภายนอกรับรู้ถึงการเล่นเกมการเมืองภายในรัฐบาลในช่วงวิกฤต จะยิ่งบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนในการสื่อสารอย่างเป็นทางการได้ ปัญหาการสื่อสารของรัฐบาลต่อประชาชน
นับตั้งแต่ 24 กรกฎาคม 2568 ซึ่งเป็นวันแรกที่มีการปะทะและมีรายงานพลเรือนเสียชีวิต คนส่วนหนึ่งตั้งข้อสังเกตว่า การสื่อสารจากผู้นำสูงสุดของรัฐบาลไม่ได้เกิดขึ้นอย่างทันทีหรือต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับความรุนแรงของสถานการณ์
โดยปัญหาหลัก คือการสื่อสารแบบแยกส่วนและไม่มีเอกภาพ โดยมีผู้สื่อสารหลายคน หลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะมาจากรัฐบาล ฝ่ายค้าน กระทรวงการต่างประเทศ กองทัพบก กระทรวงสาธารณสุข และอื่นๆ ที่อาจสะท้อนว่าการนำเสนอในรูปแบบรวมศูนย์ยังไม่เป็นไปอย่างเต็มที่ ทำให้ประชาชนต้องติดตามข้อมูลจากหลายแหล่ง
อีกประการสำคัญที่คนพูดถึงเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงวันที่มีการบรรลุข้อตกลงหยุดยิง คือการที่ไม่ใช้ช่องทางสื่อสารที่ทรงพลังในสถานการณ์ที่จำเป็น อย่างการไม่มีการออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ทั้งที่เป็นภาวะวิกฤตที่ต้องการความชัดเจนและสร้างความเชื่อมั่นอย่างเร่งด่วน จนทำให้ประชาชนอยู่ในภาวะสับสน และกังวลว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรแล้ว
ในด้านเนื้อหาที่สื่อสารโดยตรง ที่มีในบางกรณีอาจถูกตั้งข้อสังเกตว่า มีการให้ข้อมูลที่คลุมเครือ เช่น ในกรณี ปราสาทตาควาย ซึ่งเป็นพื้นที่อ่อนไหวและมีความขัดแย้งด้านเขตแดน ทำให้ประชาชนกังวลเรื่องอำนาจอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ การที่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานะล่าสุดของพื้นที่ การเจรจา หรือมาตรการปกป้อง ยังไม่ถูกเปิดเผยอย่างครบถ้วนและชัดเจน อาจสร้างความรู้สึกว่าภาครัฐ "พูดไม่หมด" หรือมีข้อมูลที่ปกปิดไว้ ทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามและไม่มั่นใจในแนวทางการบริหารจัดการต่อไป
ข่าวปลอม ชาตินิยม และสุขภาพจิต ผลกระทบจากการสื่อสาร
เมื่อขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือจากภาครัฐ ประชาชนมีแนวโน้มที่จะแสวงหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ซึ่งรวมถึงข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วในสังคมออนไลน์ ตัวอย่างเช่น ข่าวปลอม "ไทยใช้อาวุธเคมีสังหารพลเรือน" ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 หรือภาพ "เครื่องบินของไทยปล่อยควันพิษ" ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าภาพหลังถูกสร้างจาก AI และข่าวแรกบิดเบือนจากเหตุการณ์จริง ทำให้เกิดความสับสนและบิดเบือนสถานการณ์ในหมู่ประชาชน
นอกจากนี้ การสื่อสารที่อาจไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะการหยุดยิงและมาตรการด้านความปลอดภัย อาจทำให้ประชาชนในพื้นที่ชายแดนเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่แท้จริง และทำให้การปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการอาจไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น กรณีที่รักษาการนายกรัฐมนตรีแถลงในวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ว่ามีการหยุดยิงแล้วและยังไม่ให้ประชาชนเดินทางกลับ แต่ข่าวปลอมยังคงแพร่กระจายอยู่
รวมข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางอพยพที่ปลอดภัย จุดรวมพล หรือที่ตั้งของศูนย์พักพิงชั่วคราว มักไม่ถูกสื่อสารอย่างชัดเจนและสม่ำเสมอ ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงอาจไม่ทราบว่าจะต้องอพยพไปที่ใด หรือต้องเตรียมตัวอย่างไรเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งส่งผลให้เกิดความสับสน ความโกลาหล และความเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ในบางกรณี ประชาชนอาจได้รับข้อมูลจากผู้นำท้องถิ่นหรือช่องทางที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับแผนการของส่วนกลาง อาจทำให้การเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์วิกฤตเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ
ที่สำคัญคือผลกระทบต่อจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นประชาชนในพื้นที่ และประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวที่เกิดความวิตกกังวลและความหวาดกลัวต่อสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน ดังที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ว่าพบผู้ที่มีภาวะความเครียดสูงกว่า 1,600 คน และเสี่ยงฆ่าตัวตายกว่า 230 คน
นอกจากนี้ ในสถานการณ์ความขัดแย้ง การสื่อสารที่เน้นการปลุกกระแสชาตินิยม อาจนำไปสู่การมองว่าผู้เห็นต่างคือศัตรูของชาติ จนกลายเป็นกระแสความเกลียดชังแบบเหมารวม ที่มีคนบนโซเชียลมีเดียปลุกกระแสทำร้ายแรงงานชาวกัมพูชาในไทย หรือการแปะป้ายอาชญากรรมที่เกิดขึ้นว่าต้องเป็นฝีมือของคนกัมพูชา
สิ่งที่ต้องทำเพื่อให้การสื่อสารไปถึงประชาชน
จากสถานการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชานี้ จึงมีหลายภาคส่วนที่มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะที่สำคัญเกี่ยวกับการสื่อสารของรัฐบาลต่อประชาชน เพื่อให้สามารถบริหารจัดการวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต ชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลล้มเหลวในการให้ข้อมูลด้านความปลอดภัยแก่ประชาชน โดยประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยแทบไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน รวดเร็ว และสอดคล้องกันเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุด พื้นที่ปลอดภัย เส้นทางการอพยพ จุดรับความช่วยเหลือ หรือคำแนะนำในการปฏิบัติตนเพื่อความปลอดภัย
การขาดข้อมูลเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความสับสน ความตื่นตระหนก และความไม่เชื่อมั่นต่อภาครัฐอย่างมาก ดังนั้น การสื่อสารในภาวะวิกฤตไม่ควรจำกัดแค่การชี้แจงสถานการณ์ระหว่างประเทศ แต่ต้องครอบคลุมถึงการจัดการข้อมูลในระดับท้องถิ่นที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและความปลอดภัยของประชาชนด้วยเอกภาพ และความเป็นมืออาชีพในการสื่อสาร
พรรคประชาชน ระบุว่า รัฐบาลไทยต้องมีเอกภาพในการสื่อสาร โดยควรกำหนดผู้พูดหลักและให้ข่าวจากจุดเดียว เพื่อให้ข้อมูลที่ครบถ้วน รอบด้าน และทันสถานการณ์ การให้ข่าวจากหลายช่องทางจะยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน
สอดคล้องกับ ศ.ดร.ปวิน ที่วิเคราะห์ว่า บุคคลที่รัฐบาลแต่งตั้งมาเพื่อการสื่อสารไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ การให้ข้อมูลที่สับสน ใช้คำพูดยั่วยุ และขาดความเป็นมืออาชีพ ส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และทำให้ยากต่อการสร้างความเข้าใจหรือควบคุมวาทกรรมในภาวะวิกฤต
โดยสรุป ข้อเสนอต่างๆ เรื่องการสื่อสารของรัฐบาลต่อประชาชน จึงเห็นว่า รัฐบาลจำเป็นต้องทบทวนและปรับปรุงกลยุทธ์การสื่อสารในภาวะวิกฤตอย่างเร่งด่วน โดยเน้นการให้ข้อมูลที่ชัดเจน ครอบคลุม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง รวมถึงการสร้างเอกภาพและความเป็นมืออาชีพในการสื่อสาร เพื่อให้สามารถนำพาประเทศผ่านพ้นสถานการณ์ที่ท้าทายไปได้ และเรียกคืนความเชื่อมั่น และความรู้สึกปลอดภัยให้กับประชาชน
อ้างอิงจาก
nationalpreparednesscommission.uk
Editor: Thanyawat Ippoodom