MINT กำไร Q2/68 ที่ 3.08 พันลบ. โต 9% ธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหารหนุน ส่วน 6 เดือนแรกกำไร 3.5 พันลบ.
MINT กำไร Q2/68 ที่ 3.08 พันลบ. โต 9% ธุรกิจโรงแรม-ร้านอาหารหนุน ส่วน 6 เดือนแรกกำไร 3.5 พันลบ.
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -1 ส.ค. 68 13:19 น.
MINT เผยไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 3,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่เติบโตแข็งแกร่ง ส่วน 6 เดือนแรกมีกำไรสุทธิ 3,502 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากผลกระทบที่เกิดขึ้นครั้งเดียวและผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยน
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิ 3,085.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,823.21 ล้านบาท
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งใน ไตรมาส 2/68 แม้ยังคงเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจมหภาคอย่างต่อเนื่อง โดยผลประกอบการดังกล่าว สะท้อนถึงการดําเนินกลยุทธ์ระยะยาวอย่างมีวินัย และความแข็งแกร่งของพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายทั่วโลกของ บริษัทที่ช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ
บริษัทมีรายได้จากการดําเนินงานอยู่ที่ 43,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (ลดลงร้อยละ 3 หากรวมผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อสกุลเงินหลัก) การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากผลการดําเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร
โดยธุรกิจโรงแรมได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ ประกอบกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ
ขณะที่ธุรกิจร้านอาหารยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องผ่านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลายภายใต้แบรนด์หลัก ซึ่งช่วยเสริมสร้างการมี ส่วนร่วมของลูกค้าและสนับสนุนการเติบโตของยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ
กําไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (Core EBITDA) ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ระดับ 12,542 ล้านบาท มาจากผลการดําเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมในยุโรปและมัลดีฟส์ ซึ่งมีการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและบริหารประสิทธิภาพการดําเนินงานได้อย่างมีประสิทธิผล สามารถชดเชยผลกระทบจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะในจีนและ ออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมผลกระทบจากการแปลงค่าเงินแล้ว กําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคาปรับตัวลดลงร้อยละ 5
บริษัทกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,411 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตร้อยละ 11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ โดยต่อยอดจากฐานที่สูงในไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากผลการดําเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจโรงแรมในภูมิภาค เสริมด้วยความสามารถในการทํากําไรที่เพิ่มขึ้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากระดับหนี้สินและต้นทุนเงินทุนที่ค่าลง ตลอดจนการบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพของไมเนอร์ ฟู้ด ซึ่ง ทั้งหมดล้วนส่งผลให้กําไรสุทธิเพิ่มขึ้น โดยเมื่อรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กําไรจากการดําเนินงานเติบโต ร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับปีก่อน
ส่วนงวด 6 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 3,502.37 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 3,969.3 ล้านบาท โดยรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เป็น 80,096 ล้านบาท จากผลการดําเนินงานทางการเงินที่ดีขึ้นของทั้งธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร
ขณะที่กําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมราคาอยู่ที่ 20,923 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ และกําไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาอยู่ที่ 3,461 ล้านบาท
หากนับรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 43,765 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 และกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา อยู่ที่ 12,283 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5
สำหรับพัฒนาการที่สําคัญในไตรมาส 2/68
ร้านอาหาร
ปิดร้านจํานวน 58 แห่ง เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2568 โดยส่วนใหญ่เป็นการปิดร้าน (1) Coffee Journey ในประเทศไทย ภายหลังจากพันธมิตรทางธุรกิจขายกิจการให้แก่บุคคลภายนอก (2) The Coffee Club ใน ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ในการเพิ่มความสามารถในการทํากําไรของแฟรนไชส์ผ่าน การบริหารเครือข่ายร้านอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ (3) Riverside ในประเทศจีน เพื่อปรับโครงสร้าง ร้านที่มีผลการดาเนินงานไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
เปิดร้านแฟรนไชส์ Benihana แห่งแรกในประเทศมาเลเซีย
เข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์กับ Europastry เพื่อคว้าโอกาสทางการตลาดที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ เร่งขยายธุรกิจในภาคการผลิตเบเกอรี่ทั่วภูมิภาคเอเชีย
โรงแรมและอื่นๆ
เปิดโรงแรม 6 แห่งในไตรมาส 2 ปี 2568
- Tivoli: โรงแรมที่รับจ้างบริหาร 1 แห่งในประเทศโปรตุเกส
- Oaks: โรงแรมภายใต้สิทธิบริหารจัดการห้องชุด 1 แห่งในประเทศออสเตรเลีย Residence: โรงแรมภายใต้สิทธิบริหารจัดการห้องชุด 1 แห่งในประเทศออสเตรเลีย
- NH Collection: โรงแรมเช่าบริหารและ รับจ้างบริหารทั้งหมด 2 แห่งในประเทศอิตาลีและสเปน NH: โรงแรมเช่าบริหาร 1 แห่งในประเทศเดนมาร์ก
ยกระดับโรงแรม NH Marbella สู่แบรนด์ NH Collection Marbella
ปรับตําแหน่งเชิงกลยุทธ์ของแบรนด์ Oaks เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในระดับโลก
แนวโน้มครึ่งปีหลังของปี 68 ในส่วนของ ไมเนอร์ โฮเทลส์ กลุ่มโรงแรมของบริษัทในยุโรปและเอเชียอยู่ในสถานะที่ พร้อมรองรับความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2568 ตามลําดับ โดยมี ยอดการจองห้องพักล่วงหน้าที่แข็งแกร่งรองรับไว้แล้ว
ในภูมิภาคยุโรป ความต้องการเดินทางยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยกลุ่มลูกค้าธุรกิจมีอัตราการเติบโตเร็วกว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อน ข้อมูลการจองล่วงหน้าชี้ให้เห็นถึงการเติบโตของรายได้ในช่วง 6 เดือนหลังของ ปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในระดับเลขหลักเดียวช่วงต่ำถึงกลาง โดยประมาณสามในสี่ของการเติบโตดังกล่าว มาจากอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น การเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/68 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/68 ซึ่งสะท้อนฐานที่แข็งแกร่ง ที่ได้รับแรงหนุนจาก กิจกรรมและงานอีเวนต์จํานวนมาก ในด้านผลการดําเนินงานตามภูมิภาค ทั้งกลุ่มลูกค้าเพื่อการพักผ่อนและกลุ่ม ลูกค้าธุรกิจต่างมีส่วนช่วยส่งเสริมผลประกอบการที่แข็งแกร่งให้กับโรงแรมในสเปนและกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ ส่วน ในอิตาลี ผลประกอบการโรงแรมยังคงพึ่งพาความต้องการจากกลุ่มลูกค้าธุรกิจเป็นหลัก
จุดหมายปลายทางอื่น ๆ เช่น มัลดีฟส์ ยังแสดงให้เห็นถึงยอดการจองล่วงหน้าที่แข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจาก ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่มองหาประสบการณ์ระดับพรีเมียม นอกเหนือจากรายได้จากห้องพักแล้ว รายได้ จากอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงรายได้อื่นๆ ของโรงแรมยังมีส่วนช่วยเสริมมุมมองเชิงบวกจากการนําาเสนอ ประสบการณ์พิเศษเฉพาะของไมเนอร์ โฮเทลส์ สําหรับประเทศไทย การปรับปรุงโรงแรมหลักของบริษัทให้แล้ว เสร็จก่อนเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวคาดว่าจะช่วยสนับสนุนอัตราค่าห้องเฉลี่ยที่สูงขึ้นได้ แม้จํานวนนักท่องเที่ยว ต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศจะชะลอตัวลงก็ตาม
ส่วนไมเนอร์ ฟู้ด ขนาดธุรกิจที่ใหญ่ ถือเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันหลักในอุตสาหกรรมบริการ อาหาร ด้วยการมีฐานการดําเนินงานที่แข็งแกร่งในประเทศและกลุ่มแบรนด์ที่หลากหลาย ไมเนอร์ ฟู้ดสามารถใช้ ประโยชน์จากขนาดธุรกิจในการจัดซื้อ การกระจายสินค้า และการตลาด เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุนและ รักษาคุณภาพให้สม่ําเสมอ ขนาดธุรกิจยังช่วยให้เกิดนวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้น การเปิดตัวแนวคิดใหม่ทําได้เร็วขึ้น และสามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างคล่องตัว ไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงขยายเครือข่ายแฟรนไชส์ ทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท
เรียบเรียง โดย จารุวรรณ เอี่ยมยิ่งพานิช
อีเมล์. charuwan@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ