โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

เช็กตัวเอง 10 ข้อ ทำงานแบบนี้ไปไวแน่นอน

Mission To The Moon

เผยแพร่ 08 ก.ค. เวลา 05.40 น. • Mission To The Moon Media

"วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง แต่ทำไมเราทำงานเหมือนมี 48 ชั่วโมง?"
.
.
เมื่อเช้าตื่นมาก็คิดถึงเมลที่ยังไม่ตอบ ระหว่างแปรงฟันก็เช็ก Slack กลางคืนนอนไม่หลับเพราะกังวลงานวันพรุ่งนี้ จนเพื่อนเริ่มบ่นว่า "พูดแต่เรื่องงาน" แฟนเริ่มโวยว่า "ดูเหมือนแต่งงานกับโทรศัพท์มากกว่าเรา"
.
ความจริงคือ ตอนนี้เรากำลังอยู่ในยุคที่ "คาโรชิ" (Karoshi) ซึ่งเป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่แปลว่า "การเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป" ไม่ได้เป็นแค่เรื่องไกลตัวในต่างประเทศอีกต่อไป แต่แอบคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
.
ผลสำรวจล่าสุดจาก Forbes ระบุว่า 45% ของคนทำงานอเมริกันรายงานว่าความเครียดจากงานส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต และที่น่าตกใจคือมีคนถึง 40% ที่ยอมรับตัวเองว่าเป็น "คนติดงาน" แบบจริงจัง ขณะที่ 89% กำลังเผชิญกับ Burnout อย่างรุนแรง
.
แล้วเราล่ะ? เรารู้ตัวไหมว่ากำลังเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน? วันนี้เราจะพาทุกคนมาเช็กตัวเองผ่าน 10 สัญญาณเตือนที่แสดงว่าคุณอาจกำลัง "ทำงานจนเสี่ยงไปไว" โดยไม่รู้ตัว พร้อมหาทางออกที่จะช่วยให้คุณกลับมามีชีวิตที่สมดุลได้อีกครั้ง
.
.
เมื่อ "รีบ" กลายเป็นโรค และ "ช้า" กลายเป็นศัตรู
.
ในโลกที่ความเร็วกลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าคุณภาพของงาน เราได้ถูกปรับโครงสร้างความคิดให้เชื่อว่า "ช้า = แพ้" และ "เร็ว = ชนะ" จนกระทั่งลืมไปว่า ความเร็วที่ไม่มีจุดหมายชัดเจนนั้น ไม่ต่างอะไรกับการวิ่งตรงไปยังหน้าผา
.
แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ เราไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังติดยาเสพติดชนิดใหม่ที่ชื่อว่า "ความรีบร้อน" การศึกษาจาก Harvard Medical School พบว่า คนที่มี "ความรีบร้อนเรื้อรัง" (Chronic Rushing Syndrome) มีระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) สูงกว่าคนปกติถึง 23% อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความดันโลหิตสูง และเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากขึ้น
.
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของประสิทธิภาพการทำงาน แต่เป็นเรื่องของการอยู่รอดในระยะยาว เพราะ ดร.ลารี โรเซน (Dr. Larry Rosen) นักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องเทคโนโลยีกับพฤติกรรมมนุษย์ เรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "iDisorder" คือโรคจิตเวชยุคใหม่ที่เกิดจากการที่เราปรับตัวให้เข้ากับความเร็วของเทคโนโลยี จนลืมไปว่าเราเป็นมนุษย์ที่มีข้อจำกัด
.
ความอันตรายคือ คุณภาพชีวิตที่แท้จริงกลับเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ "ช้า" เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสนทนากับลูกอย่างตั้งใจฟัง การรับประทานอาหารโดยไม่เร่งรีบ การมองพระอาทิตย์ตกดินโดยไม่คิดถึงงานที่ยังไม่เสร็จ
.
มาดูกันว่า เราติด "ยาเสพติดความรีบร้อน" ถึงขั้นไหนแล้ว และจะหาทางออกจากวงจรอันตรายนี้ได้อย่างไร
.
[ ] 1. รีบตลอด 24 ชั่วโมง
.
คุณเป็นคนประเภทที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรเร็วพอ ลิฟต์ขึ้นช้าไป รถติดนิดเดียวก็หงุดหงิด แม้แต่ไมโครเวฟอุ่นอาหาร 2 นาทีก็รู้สึกเหมือนเป็นชั่วโมง คุณมักทำหลายอย่างพร้อมกัน กินข้าวไปเช็กเมลไป คุยโทรศัพท์ไปพิมพ์เอกสารไป
.
คุณอาจจะลองเช็กตัวเองง่ายๆ ก่อนว่า เวลารอลิฟต์ คุณกดปุ่มซ้ำๆ หลายรอบไหม? หรือเดินขึ้นบันไดไปเลยเพราะไม่อยากรอ? ถ้าใช่คุณอาจจะกำลังเสี่ยงต่อการทำงานที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะการรีบตลอดเวลาทำให้ระดับ Cortisol (ฮอร์โมนความเครียด) สูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
.
[ ] 2. คิดเสมอว่า "ไม่มีใครทำได้ดีเท่าเรา"
.
คุณไม่กล้ามอบหมายงานให้คนอื่น เพราะกลัวว่าจะไม่ได้มาตรฐาน การขอความช่วยเหลือรู้สึกเหมือนการยอมแพ้ คุณคิดว่าถ้าอยากได้งานที่ดี ต้องทำเอง เวลาคนอื่นช่วยงาน คุณมักจะไปแก้ใหม่อีกครั้ง
ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่มีงาน Presentation สำคัญ แทนที่จะให้ทีมช่วยทำ Slide คุณกลับเก็บตัวทำคนเดียวจนตี 3 เพราะ "ต้องให้ Perfect" ผลเสียที่เกิดขึ้นคือ คุณจะกลายเป็นคอขวดของทีม ทำงานล้นมือ และทีมไม่ได้เรียนรู้พัฒนา ส่วนตัวคุณเองก็เหนื่อยล้าจนหมดไฟ
.
[ ] 3. ความเพอร์เฟ็กต้องมาก่อน ไม่งั้นไม่ยอมปล่อยงานออก
.
99% ยังไม่ดีพอ ต้อง 100% เท่านั้น คุณใช้เวลาแก้งานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่งเอกสารแล้วยังกังวลว่าควรแก้อีกไหม เวลาเพื่อนร่วมงานทำงานไม่ถึงมาตรฐาน คุณรู้สึกหงุดหงิดมาก
.
สัญญาณที่คุณสามารถลองเช็กตัวเองได้คือ คุณเคยส่งเมลแล้วกด "Recall" เพื่อแก้คำผิด 1-2 ตัวไหม? หรือเขียน Caption โซเชียลซ้ำหลายรอบเพราะไม่พอใจ? หากคุณกำลังมีอาการแบบนี้ นั่นแปลว่าคุณกำลังกลายเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับดีเทลเล็กๆ เพื่อความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีอยู่จริง และการไล่ตามมันทำให้คุณไม่มีวันเสร็จงาน
.
[ ] 4. เริ่มละเลยคนใกล้ตัว
.
คุณลืมวันเกิดลูก พลาดงานรับปริญญาของน้อง ไปงานแต่งงานเพื่อนแต่นั่งเล่นโทรศัพท์ตลอด เวลาคนในครอบครัวพยายามคุยด้วย คุณตอบแบบไม่มีสมาธิ หรือบอกว่า "เดี๋ยวนะ ให้จัดการงานนี้ก่อน" เมื่อคุณเริ่มละเลยคนใกล้ตัวจะทำให้คนที่รักเราเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า พวกเขาเลิกพยายามแชร์เรื่องราวชีวิต เพราะรู้ว่าเราไม่ได้ฟังจริงๆ
.
[ ] 5. ทำงานติดต่อกันจนร่างกายร้องขอความช่วยเหลือ
.
คุณสามารถทำงานติดต่อกัน 16-18 ชั่วโมงโดยไม่หยุด ดื่มกาแฟวันละ 3-4 แก้ว กินข้าวหน้าจอคอมพิวเตอร์ หลับในชุดทำงาน ตื่นมาแล้วใส่เสื้อตัวเดิมทำงานต่อ จนสัญญาณต่างๆ เริ่มแสดงออกมาทางร่างกาย เช่น ใต้ตาคล้ำลง ผิวหนังไม่มีเลือดฝาด น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นผิดปกติ รวมถึงอาการทางกาย ความเจ็บปวดอื่นๆ ที่มักเกิดขึ้นจากความเหนื่อล้าที่สะสมทางกาย
.
[ ] 6. "การพักผ่อน" กลายเป็นคำต้องห้าม
.
คุณรู้สึกผิดเวลาไม่ทำงาน การดูหนัง อ่านหนังสือ หรือเล่นกับเพื่อนรู้สึกเหมือนเสียเวลา งานอดิเรกต้องเปลี่ยนเป็นงานหาเงิน แทนที่จะถ่ายรูปเล่น คุณก็คิดถึงการเปิดรับจ้างถ่ายงานแต่ง หรือแทนที่จะทำเค้กสนุกๆ คนเดียว คุณก็คิดถึงเรื่องการเปิดรับออเดอร์ขาย
.
[ ] 7. สมองเริ่ม "ลัดวงจร"
.
คุณเริ่มลืมเรื่องง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่รู้ว่าตัวเองผูกเน็กไทไปหรือยัง ลืมที่นัดประชุม ขับรถผ่านป้ายหยุดโดยไม่ทันสังเกต นั่งประชุมแล้วไม่จำได้ว่าเพิ่งคุยเรื่องอะไร ต้องเปิดโน้ตกลับไปดู สิ่งเหล่านี้เกิดจากสมองทำงานหนักเกินไป ระบบความจำระยะสั้นเริ่มล้มเหลว
.
[ ] 8. ใจร้อนจนเกินไป ความอดทนเป็นศูนย์
.
รอลิฟต์ 30 วินาทีก็เคาะปุ่มอีก 5 ครั้ง รถติดเบาๆ ก็เริ่มหงุดหงิด ถูกคิดเงินช้านิดเดียวก็อยากจะโวย หรือพอส่งเมลหาคนแล้ว 5 นาทีไม่ตอบก็ตามด้วยไลน์ แล้วก็โทรไปอีก ทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกกดดัน ทั้งหมดนี้คือสัญญาณที่คุณอาจไม่เคยสังเกตตัวเอง แต่ก็ทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกว่าไม่อยากทำงานด้วย
.
[ ] 9. ถามหาคุณค่าของตัวเองจากงานเป็นหลัก
.
คุณรู้สึกมีค่าเฉพาะตอนทำงานสำเร็จ ถ้าไม่มีงาน หรือไม่ได้รับยกย่อง รู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า คุณใช้ตำแหน่งงาน เงินเดือน หรือความสำเร็จเป็นมาตรวัดความมีค่าของตัวเอง
.
วิธีสังเกตง่ายๆ คือเวลาแนะนำตัว คุณมักจะบอกชื่อแล้วตามด้วยงานทันที แทนที่จะแนะนำด้วยแง่มุมอื่นๆ ของตัวเองเหมือนคนทั่วไป
.
[ ] 10. ลืมดูแลตัวเอง เหมือนเป็นแค่หุ่นยนต์
.
จำได้ไหมว่า มื้อสุดท้ายที่กินอาหารมีประโยชน์คือเมื่อไหร่? ถ้าคุณเอาแต่กินอาหารส่งเดลิเวอรี่ ข้ามมื้อบ่อย ไม่ออกกำลังกาย นอนไม่เพียงพอ ปวดหัว ปวดหลัง แต่เอายาแก้ปวดกินเฉยๆ ไม่ไปหาสาเหตุ นั่นแปลว่าคุณกำลังทำงานหนักเกินไปจนไม่ปลอดภัย
.
อาการเตือนที่ควรใส่ใจคือ รู้สึกว่าปวดศีรษะบ่อยขึ้น นอนไม่หลับ หรือหลับแล้วไม่สดชื่น รู้สึกเหนื่อยตลอดเวลาแม้ไม่ได้ทำงานหนัก
.
.
เส้นทางกลับสู่ชีวิตที่มีความหมาย
.
การรู้ตัวว่าเรากำลังทำงานเกินขีดจำกัดเป็นก้าวแรกที่สำคัญที่สุด แต่การเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มจากการเข้าใจว่า คุณคือมนุษย์ ไม่ใช่เครื่องจักร
.
[ ] สร้างกฎเหล็ก "ปิดงาน" กำหนดเวลาปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น 6 โมงเย็น ห้ามเปิดอีกจนถึงวันพรุ่งนี้
.
[ ] ฝึกศิลปะแห่งการ "มอบหมาย" เริ่มจากงานเล็กๆ ที่ไม่สำคัญมาก มอบให้คนอื่นทำ ให้คำแนะนำชัดเจน แต่อย่าไปแก้ใหม่ทั้งหมด
.
[ ] สร้าง "ช่วงเวลา" แห่งการผ่อนคลาย ก่อนนอน 1 ชั่วโมงต้องไม่ดูหน้าจอ ไม่คิดเรื่องงาน และพยายามหาอะไรทำที่ไม่เกี่ยวกับงานบ้าง เช่น อ่านนิยาย ฟังเพลง วาดรูป นอกจากนี้ การออกกำลังกายแม้แค่เดิน 20 นาที ก็ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดได้
.
[ ] ปรับ Mindset เรื่องความสมบูรณ์แบบ ให้ลองจำคำว่า "Done is better than perfect" แม้ว่างานจะไม่สมบูรณ์แบบทั้งหมด แต่การทำงานเสร็จก็ถือว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จไปบ้างแล้ว ลองตั้งเวลาจำกัดสำหรับงานแต่ละชิ้น เมื่อหมดเวลาต้องส่ง และหาคนที่ไว้ใจให้ช่วย Review งาน
.
.
อย่างไรก็ตาม หากคุณกำลังอยู่ในวังวนของการทำงานหนัก และเริ่มอยากนำตัวเองออกไปจากวังวนนี้ก่อนที่จะเสียสุขภาพนั้น การทำงานหนักไม่ผิด แต่การทำงานจนลืมว่าเราคือใคร ลืมว่าเรามีชีวิตนอกจากงาน นั่นคือสิ่งที่ผิด
.
ให้จำไว้ว่า “งานเป็นเพียงส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ชีวิตทั้งหมด” คุณมีค่าในตัวเอง ไม่ใช่เพราะตำแหน่งงาน หรือความสำเร็จในอาชีพ
.
ชีวิตที่สมดุลไม่ใช่ปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ต้องปรับตัวอยู่เสมอ ขอให้คุณใจเย็น อดทน และใจรักตัวเองมากขึ้น เพราะคุณสมควรมีชีวิตที่มีความสุข ไม่ใช่เพียงแค่มีชีวิตรอด
.
.
อ้างอิง
- 10 Signs You Could Be Working Yourself To Death In A Hybrid World: Bryan Robinson, Ph.D., Forbes - http://bit.ly/4liQm9h
.
.
#WorkLife
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Mission To The Moon

คนทำงานทั่วโลกเครียดหนัก มีอาการกลัวโดนเลิกจ้าง (Layoff Anxiety) 24% จะหมดเงินใน 2 สัปดาห์หากโดนเลิกจ้างวันนี้

2 วันที่แล้ว

ทำไมคุยกับแฟนยากกว่าคุยกับเพื่อน? เลิกโทษกัน แล้วใช้เทคนิคนี้

03 ก.ค. เวลา 05.30 น.

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

Sad Cupid เพลงอิเล็กทรอนิกส์ป๊อปจากยูนิตพิเศษ CGM48 ที่ได้ กอล์ฟ F.HERO ร่วมโปรดิวซ์

THE STANDARD

MILLI ส่งอัลบั้มที่ 2 ของชีวิต HEAVYWEIGHT ที่เล่าเรื่องราวการเติบโต พร้อมมิวสิกวิดีโอ SICK WITH IT

THE STANDARD

Mike's Journey การเดินทางของเจ้าหมาน้อยที่บอกเล่าเรื่องราวแทนใจคนพลัดถิ่นทั่วโลก

ONCE

อร่อยลงตัว "เนื้อวากิวใบพายย่าง" เมนูพิเศษประจำเดือนนี้ ที่ ห้องอาหารเพลท

Manager Online

เผยวิธีเลือกกินเนยถั่วให้สุขภาพดี ต้องดูอะไรบ้าง

sanook.com

Robert Downey Jr. เผยว่า Pedro Pascal ทำให้เขากลับมามีศรัทธาในวงการภาพยนตร์อีกครั้ง

THE STANDARD

KAWS เตรียมเทกโอเวอร์ New York Botanical Garden ช่วงซัมเมอร์ปี 2027

THE STANDARD

JIMMY CHOO x THE RITZ-CARLTON งานโชว์เคส The Crystal Dream Wedding

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...