ทำไมคุยกับแฟนยากกว่าคุยกับเพื่อน? เลิกโทษกัน แล้วใช้เทคนิคนี้
"ทำไมคุยกับแฟนทีไรเป็นต้องทะเลาะกันทุกที?"
"พูดอะไรไปนิดเดียวทำไมต้องบานปลายขนาดนี้?"
"เมื่อก่อนคุยกันรู้เรื่อง ตอนนี้พูดอะไรก็ผิดไปหมด"
.
.
คำบ่นเหล่านี้คงคุ้นหูใครหลายคนที่อยู่ในความสัมพันธ์มาสักพัก ประโยคง่ายๆ ที่เคยพูดกับเพื่อนหรือคนอื่นโดยไม่มีปัญหา กลับกลายเป็นชนวนทะเลาะเมื่อพูดกับคนที่เรารักที่สุด ความสัมพันธ์ที่เคยหวานซึ้งกลับเต็มไปด้วยหนามที่พร้อมจะทิ่มแทงกันทุกเมื่อ
.
หลายคู่ตกอยู่ในวังวนแบบนี้จนกลายเป็นเรื่องปกติ ยอมรับความขัดแย้งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของความรัก แต่ความจริงคือ มันไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องกัดฟันทนในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง คำถามคือ ทำไมเราถึงทะเลาะกับคนที่เรารักมากกว่าคนอื่น? และมีวิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้เราสื่อสารกันได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่บนสนามทุ่นระเบิดทุกครั้งที่เปิดปากพูด?
.
.
ทำไมเราจึงทะเลาะกับคนที่รักมากที่สุด?
.
ความขัดแย้งในความสัมพันธ์เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก แต่น่าแปลกที่เรามักจะทะเลาะกับคนที่เรารักมากที่สุด มากกว่าคนอื่นๆ ในชีวิต มีคนเคยบอกว่า "มีแต่คนที่รักกันเท่านั้นที่ทำร้ายกันได้มากที่สุด" และนี่คือความจริงที่เจ็บปวด เพราะเมื่อเราเปิดใจให้ใครสักคน เราก็เปิดโอกาสให้เขาเห็นทั้งด้านที่ดีและด้านที่เปราะบางของเรา
.
จากการสำรวจคู่ความสัมพันธ์กว่า 1,000 คู่ โดยสถาบัน Relationship Science Foundation พบว่า 70% ของปัญหาในความสัมพันธ์เกิดจากการสื่อสารที่ล้มเหลว เราพูดไปคนละเรื่อง เราคาดหวังให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย เรานำความขุ่นเคืองเก่าๆ มาทับถมกันจนกลายเป็นภูเขาที่ยากจะปีนข้าม
.
ดร.จูเลีย ไมเคิลส์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมความสัมพันธ์ อธิบายถึงปรากฏการณ์นี้ว่า "เมื่อความสัมพันธ์พัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง เรามักจะหยุดสื่อสารความต้องการอย่างชัดเจน เพราะเชื่อว่าคนรักควรจะเข้าใจเราโดยอัตโนมัติ" นี่คือสิ่งที่เธอเรียกว่า "มายาคติแห่งการเชื่อมโยงใจ" ที่ทำให้คู่รักจำนวนมากเข้าใจผิดว่าอีกฝ่ายควรรู้ว่าเราคิดอะไรหรือรู้สึกอย่างไรโดยไม่ต้องบอก
.
ผลการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าคู่รัก 64% มีความคิดว่า "ถ้าเขารักฉันจริง เขาควรรู้ว่าฉันต้องการอะไร" ความเชื่อเช่นนี้นำไปสู่ความผิดหวังและความขุ่นเคืองที่สะสมเมื่อความคาดหวังไม่ตรงกับความเป็นจริง การสำรวจยังพบว่า 73% ของข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในความสัมพันธ์เกิดจากการตีความที่ผิดพลาดและการเข้าใจผิดในความตั้งใจของอีกฝ่าย
.
นอกจากนี้ อีกการศึกษาที่น่าสนใจคือการใช้เครื่องสแกนสมอง fMRI ที่ทำโดยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดในปี 2023 ยืนยันว่าเมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยคนที่เรารัก สมองส่วนอะมิกดาลา (Amygdala) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตอบสนองต่อภัยคุกคาม จะทำงานอย่างหนัก มากกว่าเมื่อได้รับคำวิจารณ์เดียวกันจากคนแปลกหน้าถึง 3 เท่า นี่คือสาเหตุทางชีววิทยาที่อธิบายว่าทำไมเราจึงรู้สึกเจ็บปวดและตอบสนองอย่างรุนแรงต่อความขัดแย้งกับคนรักมากกว่าคนอื่น
.
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เมื่อเพื่อนพูดอะไรที่เราไม่เห็นด้วย เรามักจะยิ้มรับฟัง แล้วเปลี่ยนเรื่อง หรือบอกความเห็นตัวเองแบบสบายๆ ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเอาชนะในการโต้เถียง แต่เมื่อคนรักพูดหรือทำอะไรที่เราไม่ชอบ กลไกการตอบสนองกลับต่างออกไป เพราะเราคาดหวังว่าคนที่รักเราต้องเข้าใจเรา โดยไม่ต้องอธิบาย อีกทั้งเรายังมีความเปราะบางทางอารมณ์กับคนรักมากกว่า ทำให้รู้สึกเจ็บปวดง่ายกว่า
.
.
เลิกโทษกัน แล้วเติมความสุขด้วยเทคนิค "หยุด 5 วินาที"
.
หลายคู่พยายามหาวิธีแก้ไขปัญหาด้วยการไปพบนักบำบัด อ่านหนังสือความสัมพันธ์หลายเล่ม หรือแม้กระทั่งพยายามหลีกเลี่ยงการถกเถียงเพื่อรักษาความสงบ แต่วิธีเหล่านี้มักไม่ได้ผลในระยะยาว เพราะปัญหาที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ "เรื่องที่ทะเลาะ" แต่อยู่ที่ "วิธีที่เราทะเลาะกัน" ต่างหาก
.
ดร.จอร์แดน ทราเวอร์ส พบว่า คู่ที่มีความสุขมากที่สุดใช้เทคนิคที่เรียกว่า "กฎการหยุด 5 วินาที" เทคนิคนี้เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เพราะเมื่อคุณรู้สึกว่าอารมณ์กำลังพุ่งสูง ให้หยุดนับ 1-2-3-4-5 ก่อนที่จะตอบสนองกลับไป
.
ลองนึกภาพว่าคุณกลับบ้านหลังจากวันที่เหนื่อยล้า พบว่าจานชามยังกองอยู่ในซิงก์ ทั้งที่คุณขอให้คู่ของคุณล้างไว้ตั้งแต่เช้า ความหงุดหงิดพลุ่งพล่าน คุณอาจจะอยากระเบิดออกมาทันทีด้วยคำพูดแบบ "ทำไมคุณถึงไม่เคยทำตามที่บอกเลย?" หรือ "ฉันต้องทำทุกอย่างในบ้านนี้เองหรือไง?"
.
แต่ลองหยุดสักครู่ แล้วนับ 1-2-3-4-5 ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ อารมณ์ของคุณจะเย็นลง และคุณจะมีเวลาคิดถึงวิธีพูดที่สร้างสรรค์กว่า เช่น "ฉันรู้สึกเหนื่อยมากวันนี้ และรู้สึกผิดหวังที่เห็นจานยังไม่ได้ล้าง เราช่วยกันจัดการมันตอนนี้ได้ไหม?"
.
ทำไมวิธีง่ายๆ แบบนี้ถึงได้ผล? เพราะเมื่อเราโกรธ สมองของเราเข้าสู่โหมด "สู้หรือหนี" ทำให้เราพูดและทำสิ่งที่อาจเสียใจภายหลัง การหยุด 5 วินาทีช่วยให้เราได้กลับมาควบคุมสติและอารมณ์ เปลี่ยนจากการตอบสนองแบบอัตโนมัติเป็นการตอบสนองที่เลือกสรรแล้วนั่นเอง
.
โดยคุณอาจจะเริ่มด้วยการใช้เทคนิคนี้ในสถานการณ์ที่ไม่รุนแรงมาก เพื่อให้เกิดความคุ้นเคย เมื่อคุณฝึกบ่อยขึ้น มันจะกลายเป็นสัญชาตญาณใหม่ของคุณโดยอัตโนมัติ แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียดมาก แต่อย่างไรก็ตาม หลายคนใช้เวลา 5 วินาทีนี้เพื่อคิดประโยคโต้กลับที่เจ็บปวดยิ่งขึ้น นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของเทคนิคนี้ ให้คุณพยายามใช้เวลานี้เพื่อกลับมาเชื่อมต่อกับความรักและความเคารพที่คุณมีต่ออีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด
.
.
เทคนิคนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเก็บกดความรู้สึกหรือไม่แสดงออก แต่เป็นการเลือกวิธีแสดงออกที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา ไม่ใช่สร้างปัญหาเพิ่ม การหยุด 5 วินาทีอาจฟังดูเรียบง่าย แต่มันคือก้าวแรกที่ทรงพลังในการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ จากการโทษกันและกัน ไปสู่การเป็นทีมเดียวกันที่ร่วมกันแก้ปัญหา
.
เพราะช่วงเวลา 5 วินาทีนั้นอาจไม่ยาวนานอย่างที่คิด แต่มันยาวพอที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณและคนที่คุณรัก ให้นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และเป็นสะพานที่ทอดข้ามความขัดแย้ง เป็นการบอกว่า "ฉันเลือกเราเหนือกว่าอีโก้ของฉัน และเลือกความรักเหนือกว่าการเอาชนะ"
.
.
อ้างอิง
- I’m a psychologist who studies couples—people who are miserable in their relationships say ‘no’ to these 4 questions: Mark Travers, CNBC Make It - http://bit.ly/4euPonH
- I’m a therapist who’s worked with over 100 couples—what people in the happiest relationships do that most don’t: Jourdan Travers, CNBC Make It - http://bit.ly/4lslRgw
.
.
#Relationship
#trend
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast