ทำไม? "ยาแอสไพริน" ไม่ควรใช้ในเด็ก เรื่องที่ผู้ปกครองต้องรู้
ยาแอสไพริน (Aspirin) หรือชื่อทางเคมีว่า กรดอะซิติลซาลิไซลิก (Acetylsalicylic acid) เป็นยาสามัญประจำบ้านที่จัดอยู่ในกลุ่มยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มีคุณสมบัติที่หลากหลายและใช้รักษาอาการเจ็บป่วยได้หลายอย่าง
คุณสมบัติหลักของยาแอสไพริน
-ลดอาการปวดและอักเสบ แอสไพรินออกฤทธิ์โดยการยับยั้งการสร้างสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) ในร่างกาย ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการปวด บวม และอักเสบ จึงใช้บรรเทาอาการปวดได้หลายชนิด เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ และปวดฟัน
-ลดไข้ ช่วยลดอุณหภูมิร่างกายเมื่อมีไข้ได้
-ต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด ในปริมาณที่ต่ำ ยาแอสไพรินมีคุณสมบัติป้องกันไม่ให้เกล็ดเลือดจับตัวเป็นลิ่มเลือด จึงมีการนำไปใช้เพื่อป้องกันภาวะหัวใจขาดเลือดและหลอดเลือดสมองตีบในผู้ที่มีความเสี่ยงสูง
ข้อควรระวังและข้อห้ามใช้ที่สำคัญ
แม้จะเป็นยาที่หาซื้อง่าย แต่แอสไพรินเป็นยาที่มีผลข้างเคียง และข้อควรระวังที่ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง นั่นเป็นเพราะ
-อันตรายต่อกระเพาะอาหาร อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
-ห้ามใช้ในเด็กและวัยรุ่น ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินในเด็กและวัยรุ่นที่มีอาการป่วยจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดกลุ่มอาการราย (Reye's Syndrome) ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิต
-ผลข้างเคียงด้านการแข็งตัวของเลือด ผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่าย หรือต้องเข้ารับการผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยา เนื่องจากจะทำให้เลือดหยุดไหลยากขึ้น
-อาการแพ้ยา ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาแอสไพรินหรือยาในกลุ่ม NSAIDs ควรหลีกเลี่ยงการใช้
ส่วนการใช้ยาแอสไพรินในเด็ก และวัยรุ่นเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและร้ายแรงถึงชีวิตที่เรียกว่า กลุ่มอาการราย (Reye's Syndrome)
กลุ่มอาการราย (Reye's Syndrome) คืออะไร?
กลุ่มอาการรายเป็นภาวะที่พบได้ไม่บ่อยนัก แต่มีความรุนแรงมาก โดยจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กหรือวัยรุ่นที่มีอาการป่วยจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส ได้รับยาแอสไพรินเข้าไป
-ผลกระทบต่อตับและสมอง เมื่อเกิดกลุ่มอาการราย จะทำให้เกิดการบวมของสมองและการทำงานของตับล้มเหลวอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
-อาการ เริ่มต้นอาจคล้ายกับอาการป่วยทั่วไป แต่จะแย่ลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุนแรง พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น หงุดหงิดหรือสับสน และอาจหมดสติในที่สุด
ยาที่ปลอดภัยกว่าสำหรับเด็ก
ด้วยความเสี่ยงที่ร้ายแรงนี้ แพทย์จึงไม่แนะนำให้ใช้ยาแอสไพรินกับเด็ก และวัยรุ่นที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการป่วยจากไวรัส
ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า หากต้องการลดไข้หรือบรรเทาอาการปวดในเด็ก แพทย์จะแนะนำให้ใช้ยาชนิดอื่นแทน เช่น ยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือ ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ซึ่งมีความปลอดภัยมากกว่าและไม่เชื่อมโยงกับกลุ่มอาการราย
ดังนั้น ก่อนให้ยาลดไข้หรือแก้ปวดกับเด็ก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นยาที่เหมาะสม และปลอดภัยที่สุดสำหรับเด็ก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ญี่ปุ่นค้นพบ “ยาแก้ปวด” ตัวใหม่ ไม่ทำให้เสพติด ลดอาการปวดรุนแรง
- รูัจัก "ทรามาดอล" ยาแก้ปวดชนิดเฉียบพลัน ที่ราชกิจจาฯ ประกาศให้ เป็นยาควบคุมพิเศษ
- ไขข้อสงสัย ยิ่งกินยาแก้ปวด จะปวดหัวมากกว่าเดิมจริงหรือไม่?
- ยาพาราฯมีส่วนผสมของไวรัสแมคชูโป เรื่องจริงหรือข้อมูลเท็จ?
- แพทย์เตือน! กิน “ยาแก้ปวด” มากเกินไป เสี่ยง “ปวดศีรษะ” ได้