จับตาวันนี้ 4 ส.ค. เดดไลน์ศาลรัฐธรรมนูญ "อุ๊งอิ๊งค์" แจงคลิปเสียงฮุนเซน
วันนี้(4 ส.ค.68) เป็นวันสำคัญและเป็นโค้งสุดท้ายที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะต้องยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญในคดีที่เกี่ยวข้องกับคลิปเสียงการสนทนากับสมเด็จ ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีและปัจจุบันเป็นประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
หลังจากศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของ น.ส.แพทองธารออกไปจนถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 เป็นครั้งสุดท้าย หาก น.ส.แพทองธารไม่ยื่นคำชี้แจงภายในกำหนด ศาลจะถือว่าไม่ติดใจที่จะยื่นและจะดำเนินการพิจารณาต่อไป
คดีนี้ได้รับความสนใจอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจส่งผลกระทบสำคัญต่อสถานะทางการเมือง ทิศทางของรัฐบาลในอนาคต รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ
ย้อนรอยคดี ‘คลิปเสียงฮุนเซน’ และข้อโต้แย้งจากฝ่ายนายกรัฐมนตรี
คดีนี้เริ่มต้นจากคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 คน ที่เข้าชื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา หลังมีคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร กับสมเด็จ ฮุน เซน ที่เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่ง น.ส.แพทองธารยอมรับว่าเป็นการสนทนาของตนเองจริง
แต่นางสาวแพทองธาร ยืนยันทันทีว่า เป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวด้วยเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทย
สอดรับกับ นพ.พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีมีเจตนาเพื่อจะรักษาผลประโยชน์ของประเทศ และ ไม่ได้รับปากอะไรเลย ในการสนทนาดังกล่าว โดยระบุเพียงว่าจะไปหารือและจะกลับมาคุยในตอนเช้า แต่สมเด็จ ฮุน เซน ได้ใช้ประโยชน์จากวิธีการที่ไม่เหมาะสม เช่น การนำคลิปสนทนาส่วนตัวเข้ามาเผยแพร่
และเน้นย้ำว่า สมเด็จ ฮุน เซน ไม่ได้เป็นตัวแทนรัฐบาล ในการสนทนาครั้งนั้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทีมกฎหมายจะใช้ต่อสู้คดีและชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อแสดงให้เห็นเจตนาว่านายกรัฐมนตรีคำนึงถึงการคุยกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง
นพ.พรหมมินทร์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงบริบทของการสนทนาว่า นายกรัฐมนตรีถูกติดต่อมาและมีการเลื่อนนัด 2-3 ครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่สบายใจที่จะคุย จึงได้ติดต่อ นพ.พรหมมินทร์ จึงได้เชิญ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เข้าไปนั่งฟังด้วย และการสนทนาเป็นการรับสายส่วนตัวและคุยนอกเวลางาน
เลขาธิการนายกฯ ระบุถึงเหตุการณ์ในระหว่างสนทนาด้วยว่า ล่ามของสมเด็จฮุนเซน (นายฮวด) ได้แจ้งว่ายังไม่สามารถจบการหารือได้ ต้องปรึกษาสมเด็จฮุนเซนก่อน จึงได้ต่อสายไป ซึ่งฝ่ายสมเด็จฮุนเซนได้ถ่ายภาพสมเด็จ ฮุน เซน ที่กำลังนอนหลับส่งมาให้ และฝ่ายไทยได้แจ้งให้ปลุกขึ้นมาเนื่องจากเป็นเรื่องใหญ่ แต่เขาไม่ได้ทำตาม
นพ.พรหมมินทร์ยืนยันว่า มีบุคคล 3 คนที่อยู่ร่วมกับนายกรัฐมนตรี (รวมถึงตัว นพ.พรหมมินทร์ เอง) พร้อมที่จะเป็นพยาน หากมีความจำเป็นต้องยืนยันข้อเท็จจริงในเหตุการณ์วันนั้น. นอกจากนี้ เขายังระบุว่ามีหลักฐานต่างๆ ครบถ้วน และยืนยันว่านายกรัฐมนตรีได้หารือใกล้ชิดกับผู้เกี่ยวข้องตลอดเวลา โดยเฉพาะกองทัพ และไม่ได้มีอะไรตามที่ถูกกล่าวหา.
แต่กลุ่มสว.ผู้ร้องเห็นว่า น.ส.แพทองธารแสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่นายกรัฐมนตรีพึงกระทำ การกระทำดังกล่าวเป็นผลมาจากความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะที่เป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด
นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวหาว่า น.ส.แพทองธารไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยมองว่าแม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้าม
ผู้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธารสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82, มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) เนื่องจากเป็นการกระทำที่ผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง. และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ น.ส.แพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย