นักเตะเอเชียในทีมของฉัน เทรนด์ใหม่ฟุตบอลอังกฤษที่น่าสนใจ
ในเกมอุ่นเครื่องระหว่างลิเวอร์พูลกับโยโกฮามา เอฟ. มารินอส ที่สนามนิสสัน สเตเดียม เมื่อวันพุธที่ผ่านมามีภาพน่าประทับใจเกิดขึ้นเมื่อเวอร์จีล ฟาน ไดค์ กัปตันทีม ‘หงส์แดง’ ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกมาได้ส่งมอบปลอกแขนกัปตันต่อให้วาตารุ เอ็นโด ที่ยืนรออยู่ที่ข้างสนาม
ภาพนี้เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่น่าประทับใจอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับแฟนฟุตบอลชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาชมเกมกันเต็มความจุสนามร่วม 70,000 คน เพราะเอ็นโด ไม่ได้เป็นแค่นักเตะของลิเวอร์พูล แต่คือกัปตันทีม ‘ซามูไรบลู’ ด้วย
ถึงแม้ว่าจะดูออกว่าเป็นการ ‘เอาใจ’ เจ้าบ้านนิดๆ แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ต่างอะไรจากการโค้งคำนับแสดงความนับถือจากลิเวอร์พูลถึงนักเตะซามูไรยอดนักสู้ที่ตอนนี้ได้รับการยอมรับแล้วว่าดีเพียงพอสำหรับการจะอยู่กับทีมระดับแชมป์พรีเมียร์ลีก
แต่เอ็นโดไม่ได้เป็นผู้เล่นจากเอเชียคนเดียวในลีกฟุตบอลอังกฤษ เฉพาะในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ยังมีโคตะ ทาคาอิ ปราการหลังดาวรุ่งอนาคตไกลคนใหม่ที่ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ดึงมาจากคาวาซากิ ฟรอนตาเล และปาร์คซองซู ที่เพิ่งย้ายมาจากซูวอน บลูวิงส์ สโมสรในเคลีก ที่ย้ายเข้ามาเติมจำนวนนักเตะจากแดนตะวันออกด้วย
นั่นหมายความว่านักฟุตบอลจากเอเชียกำลังเป็นที่ต้องการของสโมสรในอังกฤษมากขึ้น?
เรื่องนี้มันต้องมีเหตุผลสิ…
นับจากฌอง มาร์ค-บอสแมน นักเตะผู้ถูกตีตรวนเป็นผู้ชนะในคดีการกักขังหน่วงเหนี่ยวจากสโมสรต้นสังกัดจนทำให้เกิด ‘กฎบอสแมน’ เมื่อปี 1995 นักฟุตบอลจากทั่วทุกทวีปในโลกต่างหลั่งไหลเดินทางเข้ามาสู่ฟุตบอลอังกฤษอย่างมากมายมหาศาล
แต่ปฏิเสธไม่ออกว่านอกจากยุโรปแล้วอีก 2 ทวีปที่ส่งออกนักเตะมายังเมืองผู้ดีมากที่สุดคือแอฟริกาและอเมริกาใต้ ด้วยความที่เป็นทวีปที่มีชาติที่เก่งกาจทางเชิงลูกหนังสูง ร่างกายกำยำแข็งแรง ไปจนถึงเรื่องค่าตอบแทนที่หากไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์เบอร์ใหญ่ก็อาจจะไม่ได้สูงมากมายอะไร
ขณะที่ทวีปเอเชียแม้จะเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกกลับมีนักฟุตบอลที่ย้ายมาค้าแข้งเป็นจำนวนที่น้อยกว่าทวีปอื่นมาก ซึ่งเหตุผลนั้นประกอบไปด้วยหลากหลายอย่าง แต่โดยหลักแล้วเป็นเพราะมาตรฐานของผู้เล่นจากเอเชียสู้ทวีปอื่นไม่ได้
นั่นคือความจริงที่ต้องยอมรับกัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะก้าวขึ้นมาเป็นสตาร์ได้
นักเตะในระดับสตาร์ชาวเอเชียคนแรกในพรีเมียร์ลีกคือ พาร์คจีซอง นักเตะที่ไม่ได้เพียงแค่แฟนฟุตบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่หลงรักทันทีหลังย้ายมาจากพีเอสวี ไอนด์โฮเฟน ในปี 2005 เพราะแม้กระทั่งเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือเพื่อนร่วมทีมในยุคสมัยปี 2000 ก็ประทับใจและยกย่องให้เป็นตำนานนักเตะแดนกิมจิผู้ที่ใส่ถ่านอัลคาไลน์ไว้ในตัว 18 ก้อน วิ่งไม่หยุดจนตลอดมา
ก่อนจะมีซูเปอร์สตาร์ตัวจริงอย่าง ‘อปป้า’ ซนฮึงมิน ซูเปอร์สตาร์ทีมชาติเกาหลีใต้ที่ผ่านบททดสอบมากมายมหาศาลก่อนจะกลายเป็นตำนานตลอดกาลของทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์
อีกคนที่เป็นสตาร์ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาคือคาโอรุ มิโตมะ ปีกลอยลมผู้มีวิชาเดินชมจันทร์ที่เป็นขวัญใจของแฟนทีมไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบียน และเอ็นโด นักเตะที่ไม่ได้เป็นตัวหลักของลิเวอร์พูลแต่เป็นผู้เล่นที่แฟนบอลรักและชื่นชมอย่างสูง
โดยที่ระหว่างทางอาจจะมีชื่อของชินจิ คางาวะ ในทีมแมนฯ ยูไนเต็ดหรือทาคุมิ มินามิโนะ กับลิเวอร์พูล และนักเตะคนอื่นอีกประปราย
อย่างไรก็ดีในปัจจุบันสโมสรในอังกฤษเริ่มให้การยอมรับนักเตะจากเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญ
แน่นอนว่านักเตะจากเอเชียเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกมองว่าเป็นนักเตะในแบบ “Advertorial” คือเอาไว้ดึงสปอนเซอร์เข้าสโมสร โดยเฉพาะจากชาติที่มีแฟนฟุตบอลจำนวนมหาศาลอย่างญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ ซึ่งจะเห็นได้จากความคลั่งไคล้ของแฟนๆในเวลาสโมสรเหล่านี้เดินทางมาทัวร์เอเชีย
ตัวอย่างเช่น เอ็นโด ที่ขนาดไม่ได้ลงสนามมากนัก แต่ก็สามารถมีส่วนช่วยทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นอย่าง JAL และ Kodansha ขอเป็นสปอนเซอร์ของลิเวอร์พูล ซึ่งมีส่วนในการเดินทางมาทัวร์เอเชียล่าสุด และทำเงินรายได้ให้กับสโมสรมากมายมหาศาล
แต่ในความเป็นจริงแล้วเวลานี้คนในวงการฟุตบอลอังกฤษเริ่มเล็งเห็น ‘คุณภาพ’ ของผู้เล่นจากเอเชีย ว่าเป็น ‘ของดี’ ที่มีราคาย่อมเยาเกินกว่าที่คาด
“โดยไอเดียก็คือเรากำลังเข้าสู่พื้นที่ใหม่” โอลิเวอร์ สเลเตอร์ หนึ่งในทีมแมวมองของนิวคาสเซิลกล่าว
“เรากำลังเข้าสู่ตลาดใหม่ที่เราอาจจะไม่เคยได้ให้ความสนใจเฝ้ามองดูมากนักในช่วงก่อนหน้านี้”
สิ่งที่น่าสนใจคือไม่เฉพาะสโมสรในระดับสูงสุดอย่างพรีเมียร์ลีกเท่านั้นที่สนใจ แต่ยังมีสโมสรในระดับรองอย่างแชมเปียนชิพที่อยากได้นักเตะจากเอเชียมาเสริมทัพด้วย เช่น เบอร์มิงแฮม ซิตี สโมสรจากมิดแลนด์ที่อยู่ในลีกแชมเปียนชิพ หรือลีกระดับที่ 2 ของอังกฤษ ที่เพิ่งคว้าตัว 2 นักเตะญี่ปุ่นมาเสริมทีม โดยที่ก่อนหน้านี้มีเพคซองโฮ นักเตะทีมชาติเกาหลีใต้รวมอยู่แล้ว
ในลีกเดอะ แชมเปียนชิพ ยังมีนักเตะเอเชียอีกมากมายโดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งหากนับรวมแล้วมีถึง 9 คนด้วยกัน นอกเหนือจากสหราชอาณาจักรกับไอร์แลนด์แล้ว นักเตะอาทิตย์อุทัยมีจำนวนมากเกือบที่สุดในลีก เป็นรองแค่จาเมกา, เดนมาร์ก และออสเตรเลีย
ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกก็ยังมีนักเตะญี่ปุ่นอยู่ทั้งหมด 5 คน โดยไม่รวมทาเคฮิโระ โทมิยาสุ ปราการหลังจอมแกร่งผู้โชคร้ายประสบปัญหาบาดเจ็บเรื้อรังจนอาร์เซนอลขอยกเลิกสัญญา
‘เทรนด์’ ที่เกิดขึ้นนี้จึงมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ปัจจัยหนึ่งที่มีส่วนทำให้นักฟุตบอลจากเอเชียเข้าสู่เกมฟุตบอลอังกฤษมากขึ้นเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการ ‘Brexit’ ที่ทำให้ประตูในการจะย้ายมาเล่นในเมืองผู้ดีง่ายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
แต่สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญมากกว่าคือการที่เกมฟุตบอลอังกฤษเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมาก
จากชนชาติที่เล่นฟุตบอลในแบบ Hit and hope หรือสาดโด่งไปลุ้นกันข้างหน้า วัดกันด้วยความแข็งแรงและแข็งแกร่งของผู้เล่นอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องลำบากสำหรับชนชาติที่มีข้อจำกัดทางร่างกายอย่างนักเตะเอเชีย ปัจจุบันเกมฟุตบอลอังกฤษเน้นในเรื่องของ ‘เทคนิค’ เพิ่มขึ้นสูงมาก
และนั่นเหมือนการแปบอลใส่เท้าให้นักเตะจากเอเชียได้โชว์สัมผัสบอลแรกแบบเนียนๆ
“พรีเมียร์ลีกได้เปลี่ยนฟุตบอลอังกฤษและการเปลี่ยนแปลงนั้นก็ส่งผลถึงแชมเปียนชิพด้วย” เอ็ดดี บอสนาร์ อดีตนักเตะที่เคยเล่นทั้งในญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ก่อนจะย้ายไปเล่นในออสเตรเลีย และปัจจุบันเป็นทีมแมวมองของซิดนีย์ วันเดอเรอร์ส สโมสรฟุตบอลใน เอ-ลีก วิเคราะห์
“ฟุตบอลในปัจจุบันเน้นเทคนิคมากขึ้นและมันก็เหมาะกับนักเตะญี่ปุ่นมากขึ้นด้วย พวกเขาเก่งเรื่องพวกนี้อยู่แล้วและยังมีความเร็วมากด้วย รวมถึงยังเป็นนักเตะที่พร้อมจะรับฟังและเรียนรู้ด้วย”
วิทยาศาสตร์การกีฬาและการโภชนาการที่ดียังมีส่วนทำให้สภาพร่างกายของนักเตะเอเชียดีขึ้นกว่าในอดีตมาก ในปัจจุบันนักเตะเอเชียแข็งแกร่งและรวดเร็วขึ้นไม่แพ้นักเตะจากทวีปอื่นแล้ว หรือต่อให้แพ้ก็ไม่ห่างมากพอเอาชั้นเชิงมาทดแทนกันไหว
เราเห็นมาแล้วจาก ซนฮึงมิน, มิโตมะ หรือแม้แต่เอ็นโด ที่รูปร่างเหมือนจะไม่ได้สูงใหญ่แต่แข็งแกร่งไม่แพ้ใคร
อีกปัจจัยที่สำคัญคือเรื่อง ‘ราคา’ นักฟุตบอลจากสโมสรในเอเชียมีราคาต่ำกว่าทวีปอื่นมาก
โคตะ ทาคาอิ กองหลังที่ได้รับสมญา ‘ฟาน ไดค์ แห่งอาทิตย์อุทัย’ ที่อายุเพียงแค่ 20 ปี เป็นนักฟุตบอลที่มีค่าตัวในการย้ายทีมสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเจลีก
แต่สเปอร์สจ่ายค่าตัวของเขาเพียงแค่ 6 ล้านปอนด์เท่านั้น
เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่านักเตะญี่ปุ่นมีค่าน้อย เพราะการกำหนดราคาเป็นของผู้ขาย อยากจะตั้งเท่าไรก็ได้ แต่สิ่งที่มีส่วนทำให้ราคาไม่แพงคือการที่ต้นสังกัดเองก็มีความตั้งใจที่จะเปิดโอกาสให้นักเตะในชาติได้โอกาสไปเล่นฟุตบอลในระดับสูงสุด มากกว่าจะตั้งราคาสูงๆ แล้วทำให้สโมสรที่สนใจส่ายหัว
สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลดีต่อวงการฟุตบอลในระยะยาว เหมือนชาติเล็กๆในยุโรปที่เพิ่งถือกำเนิดไม่กี่สิบปีอย่างโครเอเชียที่เคยทำในแบบเดียวกันมาก่อน ในการส่งออกนักฟุตบอลอายุน้อยฝีเท้าดีกระจายไปตามสโมสรชั้นนำของยุโรปในราคาไม่แพง
นักฟุตบอลเหล่านี้ไม่ใช่พัฒนาตัวเองกลับมา ยังช่วยพัฒนาวงการฟุตบอลในประเทศ ยกระดับผู้เล่นขึ้นเรื่อยๆ และยังเป็นการสร้าง ‘แบรนด์’ ที่ยอดเยี่ยมด้วยว่าถ้าสั่งซื้อนักเตะจากพวกเขาไม่มีคำว่าผิดหวัง
ส่วนที่เหลือคือเรื่องของการตลาด ถ้านักเตะไปแล้วแจ้งเกิดเป็นสตาร์ได้ นั่นหมายถึงเป็นผู้เล่นที่ใช้ในการตลาดได้ (Marketable) เป็นผลพลอยได้ตามมา
ดังนั้นอย่าแปลกใจหากหลังจากนี้เราจะได้เห็นนักฟุตบอลจากเอเชีย ที่เป็นเอเชียแท้ๆเล่นในแถบนี้ได้ไปเฉิดฉายอยู่ในลีกระดับชั้นนำ ซึ่งความจริงก่อนหน้าพรีเมียร์ลีกก็มีลีกอื่นๆอีกมากมายอยู่แล้วตั้งแต่ บุนเดสลีกา, ลาลีกา ไปจนถึงลีกเบลเยียม
ของดี ราคาดีมาก ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ใครบ้างจะไม่อยากได้จริงไหม?
ส่วนนักเตะไทย…ไปวางฐานรากของการพัฒนาเยาวชนให้แน่นก่อน อดทนสัก 20-30 ปี อาจจะมีวันนั้น 🙂
อ้างอิง