สิ่งแวดล้อมก็ตกเป็นเหยื่อสงคราม แค่ยูเครน-รัสเซีย ธรรมชาติวอดวายเกือบ 6 หมื่นล้านเหรียญ
สุนิสา กาญจนกุล รายงาน
เมื่อเรานึกถึงสงคราม สิ่งที่ปรากฏในความคิดอย่างชัดเจนมักจะเป็นภาพการสูญเสียชีวิตของมนุษย์และซากหักพังของเมือง แต่เบื้องหลังภาพน่าสลดใจเหล่านั้น ยังมีเหยื่ออีกรายหนึ่งที่ต้องทุกข์ทรมานด้วยเช่นกันและมักจะถูกมองข้ามไป เหยื่อรายนั้นคือ “สิ่งแวดล้อม” ซึ่งไม่มีปากเสียงจะร้องขอความเห็นใจจากใคร
ขณะที่มนุษย์ทุกข์ทนจากผลของสงคราม ธรรมชาติก็วอดวายไปด้วย สัตว์ป่าล้มตาย ต้นไม้ถูกโค่นล้ม ก๊าซเรือนกระจกถูกปล่อยสู่บรรยากาศ แม้สงครามจะยุติลง ผลร้ายที่เกิดขึ้นก็ยังคงอยู่ สงครามสามปีอาจทำร้ายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปอีกหลายทศวรรษ
สงครามไม่ได้ทิ้งไว้เพียงบาดแผลทางกายและจิตใจให้ผู้คน แต่ยังฝากแผลลึกให้กับธรรมชาติอีกด้วย ผลกระทบของสงครามต่อสิ่งแวดล้อมนั้นซับซ้อนและแผ่ขยายเป็นวงกว้าง มีหลากหลายมิติ ทั้งผลกระทบทางตรงที่มองเห็นได้ทันที และผลกระทบทางอ้อมที่ค่อยๆ กัดกร่อนโลกของเราไปอย่างช้าๆ ทั้งในปัจจุบันและส่งต่อไปยังอนาคตอีกหลายชั่วอายุคน
ข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่า ในปี 2023 มีความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธมากกว่า 170 ครั้งทั่วทั้งโลก ภาคการทหารปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 5.5% ของการปล่อยก๊าซทั้งหมด
ขณะที่ผลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นว่า เฉพาะสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นคิดเป็นมูลค่าถึง 5.64 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ
ผลกระทบทางตรง: บาดแผลที่เห็นชัด
ผลกระทบทางตรงจากสงครามต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันจากปฏิบัติการทางทหาร เกิดขึ้นจากการทำลายล้างโดยตรงระหว่างการรบ เป็นเสมือนการสร้างบาดแผลภายนอกให้กับโลกโดยตรง
การทำลายโครงสร้างพื้นฐานส่งผลให้เกิดการปนเปื้อนของสารพิษในสิ่งแวดล้อม เช่น ตะกั่ว ปรอท และสารหนู ซึ่งสามารถแพร่กระจายเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารและก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์
ภูมิทัศน์และระบบนิเวศถูกทำลายล้างเพราะการทิ้งระเบิด การขุดสนามเพลาะ การเคลื่อนที่ของยานพาหนะขนาดใหญ่ของกองทัพ ทำให้หน้าดินถูกทำลายล้างอย่างรุนแรง ป่าที่เคยอุดมสมบูรณ์ถูกทำลายถางและเผาไหม้ บริเวณที่เคยเป็นแหล่งพักพิงของสัตว์นานาชนิดถูกทำให้ปนเปื้อนหรือเสียหาย
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบจากสารเคมี สงครามจะปลดปล่อยสารพิษจำนวนมหาศาลสู่สิ่งแวดล้อม ซากรถถัง เครื่องบิน และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ถูกทำลายจะปลดปล่อยโลหะหนักและสารเคมีอันตรายลงสู่ดินและน้ำ การระเบิดของอาวุธจะทิ้งสารประกอบที่เป็นพิษไว้ในพื้นที่
การใช้อาวุธพิเศษที่มีส่วนประกอบของยูเรเนียมเสื่อมสภาพ (Depleted Uranium – DU) ในสงคราม ยังก่อให้เกิดฝุ่นกัมมันตรังสีขนาดเล็กที่แพร่กระจายไปในอากาศ ดิน และน้ำ เมื่อเข้าสู่ร่างกาย จะก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพร้ายแรงอื่นๆ ในระยะยาว
ในสงครามเวียดนาม มีการใช้สารเคมีชื่อ Agent Orange ปริมาณมาก ทำให้ใบไม้ร่วงและทำลายพืชพรรณนานาชนิด ส่งผลให้ป่าถูกทำลาย ดินและแหล่งน้ำปนเปื้อนสารไดออกซินซึ่งเป็นพิษร้ายแรงและยังคงส่งผลกระทบต่อสุขภาพผู้คนและระบบนิเวศมาจนถึงปัจจุบัน
แต่สิ่งที่เป็นหายนะทางสิ่งแวดล้อมโดยแท้จริง คือการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรม เช่น โรงงานเคมีหรือคลังน้ำมัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 1991 ที่มีการเผาบ่อน้ำมันในคูเวตมากกว่า 600 บ่อ ทำให้กลุ่มควันพิษปกคลุมท้องฟ้านานหลายเดือน ส่งผลให้เกิดฝนกรดและมลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง น้ำมันดิบหลายล้านบาร์เรลรั่วไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซีย สร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศทางทะเลอย่างประเมินค่าไม่ได้
กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือสงครามในยูเครน ซึ่งการศึกษาล่าสุดระบุว่าสงครามครั้งนี้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมมูลค่ารวม 5.64 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากไฟไหม้ป่าในยูเครนเพิ่มขึ้น 118 % เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรายปีก่อนสงคราม
ผลกระทบทางอ้อม: ความบอบช้ำที่ซ่อนเร้น
นอกจากผลกระทบทางตรงที่เห็นชัด สงครามยังก่อผลกระทบทางอ้อมอีกหลายประการ เป็นเสมือนความบอบช้ำที่มองไม่เห็นจากภายนอก แต่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพโดยรวมของสิ่งแวดล้อม
การสูญเสียที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินเพราะสงครามทำให้พฤติกรรมของประชากรและกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างและหลังสงครามเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืนในพื้นที่ลี้ภัย มีการตัดไม้ทำลายป่าเพื่อหาเชื้อเพลิงและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงลักลอบล่าสัตว์ป่าเพื่อเป็นอาหารในช่วงขาดแคลน
การเสื่อมโทรมของดินเป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ ที่ดินส่วนใหญ่มักได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะ และสารพิษต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาซึมลงสู่ผืนดิน ส่งผลต่อความอุดมสมบูรณ์และความปลอดภัยของการผลิตทางการเกษตร
ในแง่ของความหลากหลายทางชีวภาพนั้น สงครามส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบนิเวศ การระเบิดและการใช้อาวุธเคมีทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ส่งผลให้ประชากรพืชและสัตว์ลดลงและสูญเสียความหลากหลายของสายพันธุ์
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกิจกรรมทางทหารเป็นหนึ่งในผลกระทบที่สำคัญที่สุด ศูนย์เฝ้าระวังความขัดแย้งและสิ่งแวดล้อม (Conflict and Environment Observatory – CEOBS) ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรในสหราชอาณาจักร ประเมินว่า ภาคการทหารทั่วโลกมีส่วนรับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกราว 5.5%
ถ้าหากถือว่า “กองทัพ” คือประเทศหนึ่ง ภาคการทหารจะเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก รองจากจีน สหรัฐอเมริกา และอินเดีย
ในกรณีของสงครามยูเครน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมจากการทำสงครามระยะเวลา 3 ปี มีปริมาณราว 175 ล้านตัน ซึ่งสูงกว่าการประเมินเมื่อ 18 เดือนแรก ซึ่งอยู่ที่ 150 ล้านตัน การเพิ่มขึ้นนี้เป็นผลจากการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน การสู้รบ และไฟไหม้ป่า
เสียหายตั้งแต่ยังไม่รบ จบแล้วก็ยังมีผล
ในความเป็นจริงนั้น สงครามส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ยังไม่มีการสู้รบ การสร้างฐานทัพและบำรุงรักษากำลังทหารต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล ทั้งโลหะทั่วไป ธาตุหายาก และแร่ธาตุสำคัญ น้ำ และพลังงาน
การฝึกฝนกำลังทหารก็ต้องใช้ทรัพยากรเช่นกัน ยานพาหนะ อากาศยาน เรือ อาคาร และโครงสร้างพื้นฐานทางทหาร ต้องใช้พลังงานมหาศาล และส่วนใหญ่เป็นพลังงานฟอสซิล การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกองทัพขนาดใหญ่อาจสูงกว่าประเทศเล็กหลายประเทศรวมกัน
นอกจากนั้น การฝึกทหารก่อให้เกิดการปล่อยมลพิษ ทำลายภูมิทัศน์ ทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยทั้งบนบกและในทะเล และยังก่อให้เกิดมลพิษทางเคมีและเสียงจากการใช้อาวุธ เครื่องบิน และยานพาหนะต่างๆ
กองทัพยังต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ทั้งบนบกและในทะเล ไม่ว่าจะเพื่อสร้างฐานทัพและสิ่งอำนวยความสะดวก หรือเพื่อการทดสอบและการฝึกอบรม
มีการประเมินว่าพื้นที่ทางการทหารครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 1-6 % ของพื้นผิวโลก ในหลายกรณี พื้นที่เหล่านี้มีความสำคัญทางนิเวศวิทยา แต่ก็มีผู้แย้งว่า ในบางครั้ง การห้ามไม่ให้พัฒนาพื้นที่ทางการทหารหลายแห่งอาจเป็นประโยชน์ต่อความหลากหลายทางชีวภาพเช่นกัน
แม้สงครามจะจบลง แต่ผลกระทบของสงครามต่อสิ่งแวดล้อมไม่ได้สิ้นสุดลงด้วย พื้นที่ต่างๆ จะยังคงได้รับผลกระทบจากมลพิษและการปนเปื้อนอีกเป็นเวลานานหลายทศวรรษ ทุ่นระเบิดที่ถูกฝังไว้แต่ไม่ระเบิดหรือทุ่นระเบิดที่ถูกน้ำพัดพามาขึ้นฝั่งยังคงเป็นภัยต่อทั้งมนุษย์และสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
การฟื้นฟูระบบนิเวศที่ได้รับความเสียหายต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาล ในหลายกรณี การฟื้นฟูไม่อาจช่วยให้ระบบนิเวศกลับคืนสภาพเดิมได้ เนื่องจากการสูญเสียสายพันธุ์และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบนิเวศอย่างถาวร
ถึงแม้สงครามและความขัดแย้งจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ แต่ผลกระทบเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับบทบาทที่จำเป็นของกองทัพในการปกป้องความมั่นคงของชาติ ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้
ทางออกที่พอจะทำได้คงต้องเริ่มจากการป้องกันความขัดแย้งและส่งเสริมสันติภาพ การพัฒนากฎหมายระหว่างประเทศที่เข้มงวดขึ้นในการคุมครองสิ่งแวดล้อมในช่วงสงครามก็เป็นสิ่งจำเป็น
ควบคู่ไปกับการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการทหารที่ลดผลกระทบต่อระบบนิเวศ รวมถึงการสร้างสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงและการรักษาสิ่งแวดล้อม แสวงหาแนวทางที่จะทำให้ทั้งสองอย่างนี้สามารถดำเนินควบคู่กันไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตลอดจนเตรียมความพร้อมสำหรับการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมหลังสงคราม ซึ่งรวมถึงการประเมินความเสียหาย การจัดหาทุนทรัพย์ และการพัฒนาแผนการฟื้นฟูที่ยั่งยืนและครอบคลุม
ในความเป็นจริงนั้น ภาคการทหารเองก็ตระหนักถึงผลกระทบที่สงครามมีต่อสิ่งแวดล้อม หลายกองทัพเริ่มมีการนำแนวคิด “กองทัพสีเขียว” (Green Military) มาใช้ เช่น การลดคาร์บอน การจัดการของเสียอย่างยั่งยืน และการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมก่อนปฏิบัติการทางทหาร
ท้ายที่สุดแล้ว การผสมผสานแนวทางด้านความมั่นคงและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมยังคงเป็นความท้าทายที่สำคัญ เนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องการความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งคงต้องใช้เวลาอีกยาวนานกว่าจะพบวิธีการที่เหมาะสมในการรักษาทั้งความมั่นคงของรัฐและความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมโลกในระยะยาว
อ้างอิง
https://www.frontiersin.org/journals/environmental-science/articles/10.3389/fenvs.2025.1539520/full
https://www.europarl.europa.eu/doceo/document/E-9-2024-000803_EN.html