"หลวงพ่ออลงกต"เปิดชีวิตวัยเด็กฝันเรียนวิศวะออสเตรเลีย ตอบชัดปมเกี่ยวพัน"รร.เทพศิรินทร์"
(19ส.ค.68) พระราชวิสุทธิประชานาถ (อลงกต ติกฺขปญฺโญ) หรือ หลวงพ่ออลงกต อดีตเจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ จ.ลพบุรี ได้ให้สัมภาษณ์กับเพจเฟซบุ๊ก"อีจัน"เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กและการศึกษา
หลวงพ่ออลงกต กล่าวว่า ในรายละเอียดลึก ๆ หลวงพ่ออาจจะลงได้ไม่หมด เพราะว่าจากหลวงพ่อประสบอุบัติเหตุในปี 2537 ผ่าตัดสมองในส่วนของความจำก็หายไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หลวงพ่อก็จะพยายามเล่าเป็นกายภาพให้เห็นแต่ละช่วงเวลาของอายุหลวงพ่อ
"หลวงพ่อพอจำได้ตอนเด็ก ๆ อยู่ที่ราชบุรี โพธาราม เรียนน่าจะ ป.1 สมัยนั้นยังเป็นกระดานชนวนจากนั้นมาประมาณสัก 3 ขวบ พอจะนึกออกมันมีภาพที่แม่เสียชีวิต แต่จริง ๆ แทบจะจำหน้าแม่ไม่ได้เลย คุณพ่อเป็นราชการ เป็นช่าง" หลวงพ่ออลงกต กล่าว
หลวงพ่ออลงกต กล่าวต่อไปว่า มาเติบโตที่ขอนแก่น แล้วก็เรียนที่โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย ชั้นมัธยมต้น - มัธยมปลาย ซึ่งโรงเรียนเป็นโรงเรียนพิเศษเป็นโรงเรียนแรกของประเทศไทยที่ประเทศออสเตรเลียมาสร้าง แล้วอาคารเป็นแบบของออสเตรเลีย หลวงพ่อเลือกเรียนวิชานี้ก็เพราะว่าคุณพ่อเป็นช่าง หลวงพ่อขับรถบดเป็นตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะคุณพ่อสอน สิ่งที่หลวงพ่อชอบคืองานทางด้านการช่าง จึงเรียนทั้งช่างไม้ ช่างเชื่อม ช่างก่อสร้าง ช่างเขียนแบบ เรียนหมดในสาขานี้ ก็เป็นโรงเรียนเดียวที่ทำให้หลวงพ่อมีตัวตนตั้งแต่เด็ก
"หลวงพ่อก็มีความฝันเลยแหละว่าโตขึ้นมาเรียนจบก็ไปเรียนวิศวะ แล้วฝันไปถึงไปเรียนที่ออสเตรเลีย ที่เป็นประเทศต้นทางที่เขามาสร้างอาคารเรียนให้เรา" หลวงพ่ออลงกต กล่าว
หลวงพ่ออลงกต กล่าวอีกว่า สิ่งที่หลวงพ่ออยากทำตั้งแต่เด็ก ๆ ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งก็คือหลวงพ่ออยากทำโรงงานขยะ แยกขยะ กำจัดขยะแล้วเอาขยะมาทำพลังงานไฟฟ้า ยิ่งตอนนี้จะเห็นหลวงพ่อทำโรงงานไฟฟ้าด้วย แต่เป็นไฟฟ้าที่แบบก็ไม่เหมือนใคร ก็ทำเป็นโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากชีวมวลเป็นต้นไม้ เราเอาต้นกระถิน มาสับ ๆ แล้วก็เอาไปอบให้เกิดแก๊ส เอาแก๊สไปเดินเครื่องยนต์ทำไฟฟ้า นั้นก็เป็นงานที่หลวงพ่อทำอยู่จนถึงทุกวัน
"หลวงพ่อเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนตามระบบ เอาจริง ๆ ชอบศึกษาค้นคว้าแล้วก็เรียนอะไรที่เป็นความรู้ที่จะประกอบสัมมาอาชีพได้จริง ๆ ก็เดินทางตามทางฝัน พยายามไปหาองค์ความรู้ที่เราอยากให้ตัวเองเก่งตัวเองเป็น" หลวงพ่ออลงกต ระบุ
หลวงพ่ออลงกต บอกด้วยว่า เพื่อนทุกคนในรุ่นเดียวกันเขาก็ไปเรียนสาขาอื่น เรียนแพทย์ เรียนวิศวะ บางคนก็เป็นนักกฎหมาย จนถึงทุกวันนี้ บางคนก็เป็นถึงผู้ว่าการฯ การไฟฟ้าก็มี ซึ่งก็เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ประสบความสำเร็จก็มี แต่หลวงพ่อเองมันมีความรู้สึกไอ้ตัวตนของเรามันต้องเป็นคนศึกษาค้นคว้าด้วยตัวเอง เรียกว่าอยากประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ก็แสวงหาทำไปหาความรู้ไปเรื่อย ๆ
หลวงพ่ออลงกต กล่าวต่อไปอีกว่า แต่หลังจากจบมัธยมตอนปลายแล้วก็ไม่ใช้วิธีการเรียนต่อเหมือนเพื่อน ๆ จนกระทั่งที่สุดหลวงพ่อก็มาพบทางธรรม มองไปมองมาหลวงพ่อเข้าใจทางธรรมอยู่อย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนศึกษาธรรมสุดท้ายหลวงพ่อรู้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มันเป็น"อนัตตา"ไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงเพราะฉะนั้นคุณจะแสวงหาอะไรก็ตามที่สุดแล้วคุณก็ครอบครองมันไม่ได้นี่คือโจทย์ที่หลวงพ่อได้มา
นอกจากนี้หลวงพ่อยังตอบคำถามประเด็นประวัติการศึกษาที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ว่า คือหลวงพ่อเล่นกีฬาเก่งตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว เพราะว่าคุณพ่อส่งเสริมให้เล่นกีฬาเล่นฟุตบอลตั้งแต่ยังไม่สิบขวบ ที่บ้านก็แอบเอาพื้นที่ของคุณพ่อมาทำสนามฟุตบอลเล่นก็เล่นกับเพื่อนสิบคนยี่สิบคนทุกวัน
หลวงพ่ออลงกต บอกว่า แต่พอโตขึ้นมาหน่อยเป็นเด็กนักเรียนคนแรกที่ได้ไปเล่นกีฬาในระดับผู้แทนของจังหวัด ผู้แทนเขตฯ ก็ทำให้เราเหมือนกับเป็นนักฟุตบอลที่เก่งแล้วก็มีคนชวนไปเล่นตรงนั้นตรงนี้
"คำว่าเทพศิรินทร์มันมีอยู่ช่วงหนึ่ง หลวงพ่อยังพอนึกออกได้ว่าตอนช่วงปิดเทอมหลวงไปเหมือนกับฝึกกับเทพศิรินทร์ ไปทดสอบฝีเท้า เพราะใจจริง ๆ อยากเข้าเมืองกรุงฯ เหมือนกัน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ชีวิตก็ผูกโยงอยู่กับเทพศิรินทร์อยู่ช่วงหนึ่ง ช่วงสั้น แล้วก็กลับมาที่แก่นนคร" หลวงพ่ออลงกต กล่าว
หลวงพ่ออลงกต ยังกล่าวว่า ก็เป็นนักกีฬาของจังหวัด นักฟุตบอลแข่งกีฬาเขต เป็นนักเรียนคนเดียวที่ได้เล่นฟุตบอลระดับจังหวัด ระดับเขต เพราะที่สุดหลวงพ่อได้สิ่งที่สองคือว่าคนเก่งจริงอยู่ที่ไหนก็ต้องเล่นได้ ต้องสงบได้
"นั้นแหละเป็นที่มาว่าหลวงพ่อก็อ๋อไม่จำเป็นต้องเดินที่ไหนหรอก เพราะทุกอย่างอยู่ที่ใจ ใจสงบ ใจนิ่ง ใจเย็นได้ นั้นคือผลของการปฏิบัติธรรม นี่ก็เป็นที่มาทำไมหลวงพ่อเป็นพระสายกรรมฐาน" หลวงพ่ออลงกต กล่าว
ที่มา : อีจัน
ข่าวเวิร์คพอยท์23