‘พล.ต.วินธัย’ เผยกัมพูชารับเองทหารที่ช่องอานม้า ‘เมา’
'พล.ต.วินธัย' เผยกัมพูชารับเองทหารที่ช่องอานม้า 'เมา' เชื่อคณะ IOT เห็นชัดใครละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ยืนยันไทยไม่ได้ทำคลิปทุ่นระเบิด และ เชลยศึกยังได้รับดูแลอย่างดีตามหลักมนุษยธรรม
วันนี้ (20 ส.ค. 68) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ร่วมกับ คณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT จาก 8 ประเทศอาเซียน ที่วัดหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ซึ่งการลงพื้นที่ของคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว IOT ระหว่างวันที่ 18-20 ส.ค.68 เพื่อมาติดตามว่า ทั้ง 2 ฝ่าย ปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อหรือไม่ โดยมุ่งเน้น 3 ประเด็นหลักคือ การใช้อาวุธ ซึ่งฝ่ายไทยพยายามที่จะแสดงหลักฐานต่าง ๆ เพื่อให้คณะ IOT เห็นว่ากัมพูชามีการใช้อาวุธ โดยเฉพาะทุ่นระเบิด โดยได้พาคณะ IOT ไปเห็นในพื้นที่จริงในจุดเกิดเหตุ
"หลังวันที่ 7 สิงหาคม ที่มีการประชุม GBC มีการใช้ทุ่นระเบิดถึง 2 ครั้งจากฝ่ายกัมพูชา โดยในวันนี้เราได้พาคณะ IOT ไปดูในจุดที่มีการใช้ทุ่นระเบิดครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นลักษณะการลักลอบวางในพื้นที่ทหารลาดตระเวนเป็นประจำ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เป็นการบังเอิญ โดยประเด็นนี้คณะ IOTได้รับทราบ และจะทำรายงานของคณะต่อไป"
พล.ต.วินธัย เปิดเผยว่า ในส่วนข้อที่ 2 คือยังมีการใช้โดรนในรูปแบบต่าง ๆ บินล้ำแดนเข้ามาในฝั่งไทย โดยเรื่องนี้คณะ IOT มีข้อมูลแล้วและข้อที่ 3 คือที่มีการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง และการเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือน ยกตัวอย่าง เมื่อเห็นคลิปที่มีการเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ทางกัมพูชาจะไม่มีการตรวจสอบอะไร จะตอบปฏิเสธมาทันทีโดยอ้างว่าเป็นเฟคนิวส์บ้าง ตนมองว่าคณะ IOT จะเข้าใจ และไม่มีคำถามใด ๆ กับฝั่งไทย
"คณะ IOT ไปดูสถานที่จริงที่กัมพูชาได้ใช้อาวุธหนักโจมตีสถานที่ของพลเรือนอย่างโรงพยาบาลพนมดงรัก ซึ่งการเตรียมความพร้อมของโรงพยาบาลในวันนั้นถือว่าดี เพราะมีการอพยพผู้ป่วยหนักออกไปโรงพยาบาลอื่นก่อน และอพยพผู้ป่วยที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ไปหลุมหลบภัยจึงถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บโดยคณะ IOT ได้ชื่นชมโรงพยาบาลพนมดงรัก ในเรื่องของการเตรียมความพร้อมเพราะช่วงเช้ามีการใช้อาวุธเล็ก แต่โรงพยาบาลก็สั่งให้อพยพผู้ป่วยในทันที"
พล.ต.วินธัย เชื่อว่าการลงพื้นที่ของคณะ IOT จะเป็นผลบวกกับไทย เพราะในที่ประชุมมีการพูดว่าฝ่ายไทยอยู่ในกรอบกติกาที่เป็นมาตรฐานสากล และมีลักษณะชื่นชม แต่ไม่ได้เสียมารยาทไปพูดถึงคนอื่น ฝั่งไทยที่นั่งอยู่ในที่ประชุมก็รู้สึกดี ที่คณะ IOT ชุดนี้มีความเข้าใจสถานการณ์ และติดตามสถานการณ์มาก่อน จึงรู้ข้อมูล
"อย่างเรื่องการใช้ทุ่นระเบิดคนที่เป็นทหารจะมองออก และเข้าใจ แต่เมื่อมีการปฏิเสธที่มีความน่าเชื่อถือต่ำ ก็อาจจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดีจากคณะ IOT ที่เข้ามาสังเกตการณ์ แต่ในที่ประชุมก็ไม่ได้มีการแสดงออกอย่างชัดเจน"
พล.ต.วินธัย เปิดเผยถึงกรณีที่เกิดขึ้นบริเวณช่องอานม้า ที่ทหารกัมพูชามาโวยวายฝ่ายไทยนั้น จากที่รับทราบพบว่า พื้นที่จุดนั้นเป็นพื้นที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายลาดตระเวนได้ แต่ไม่สามารถติดอาวุธได้ เพราะอย่างตอนที่กัมพูชาพาคณะ IOT เข้ามา ฝั่งไทยก็เข้าไปดู แต่ฝ่ายกัมพูชาตำหนิว่าไม่ได้แจ้งทางการไทย แต่ทางไทยไม่ได้แสดงท่าทีที่ไม่พอใจ หรือเสียมารยาทแบบนี้ แต่เมื่อฝั่งไทยนำคณะ IOT เข้าไป รวมถึงสื่อมวลชนก็ทำให้สังคมโลกได้เห็น ทำให้เห็นว่ากัมพูชานั้นไม่ได้อยู่ในกรอบมาตรฐานที่ควรจะเป็น เมื่อเทียบกับไทย
"มีการแจ้งเข้ามาเป็นการภายในโดยพูดว่า ที่ทหารมีอาการลักษณะนั้นเพราะว่าเมา"
พล.ต.วินธัย กล่าวย้ำว่า ในกรณีนี้ไทยก็ต้องหนังสือประท้วงไปว่าเป็นการยั่วยุ เพราะที่ผ่านมาไทยประท้วงมาโดยตลอดในทุกเหตุการณ์
ส่วนประเด็นที่ทหารเรือเจอโทรศัพท์มือถือและคลิปภาพการวางทุนระเบิด และทางฝั่งกัมพูชาก็ออกมาปฏิเสธ ว่าเป็นฝั่งไทยสวมชุดทหารกัมพูชาเพื่อสร้างข่าวปลอมนั้น พล.ต.วินธัย กล่าวว่า ตนก็ไม่เคยเห็นว่ากัมพูชาจะยอมรับอะไรเลย และกัมพูชาก็เชื่อว่าตัวเองใช้ทุนระเบิดเยอะ จึงพูดดักทางเอาไว้ เพราะเห็นว่าสื่อมวลชนไทยเก็บรายละเอียดหลักฐานได้ดี ทำให้กัมพูชา ต้องพูดดักทางไว้ว่าเป็นเฟคนิวส์
รวมถึงคลิปที่กองทัพเรือพบหลักฐานการวางทุ่นระเบิดของกัมพูชา พล.ต.วินธัย ก็เชื่อมั่นได้ว่าไม่ใช่คนสุรินทร์ เพราะ สำเนียงการพูดก็จะรู้ว่าเป็นกัมพูชาหรือสุรินทร์ ที่ผ่านมากัมพูชาพยายามพูดตลอดว่าไทยวางทุ่นระเบิดให้ฝ่ายเดียวกันเองได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตรรกะนี้ไม่มีในโลกอย่างแน่นอน เพราะนอกเหนือกติกา และทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บและมันไม่เมคเซ็นส์ รวมถึงกล่าวหาว่าฝั่งไทยเอาเชลยศึกไปทำเป็นคลิป ย้ำว่าไทยเองดูแลเชลยศึกตามหลักมนุษยธรรม และเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ และได้เปิดโอกาสให้กลไกระหว่างประเทศดำเนินการตรวจสอบตลอด
พล.ต.วินธัย ยืนยันด้วยว่า เป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะให้เชลยศึกไปวางทุ่นระเบิดอย่างที่กัมพูชากล่าวหา ซึ่งเชลยศึกยังอยู่ในการดูแลของไทย ไม่ได้นำตัวออกไปไหน และคณะ IOT ไม่ได้มีข้อกังวลเรื่องเชลยศึกที่ไทย เพราะไทยอยู่ในกติกาสากล คือไทยเป็นสุภาพบุรุษและคณะ IOT ก็ได้เข้าเยี่ยมเชลยศึกด้วยเช่นกัน