"พาณิชย์"จับตาส่งออก ส.ค.ชะลอ สรท.หวั่นไตรมาส 3 เสี่ยงโต 0%
ช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ทั่วโลกต่างเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจาก “ภาษีทรัมป์” ที่มีแนวโน้มจะถูกนำมาใช้ ซึ่งทำให้ยอดการส่งออกในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
สถานการณ์ดังกล่าวเป็นเพียงผลลัพธ์จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกที่ยังไม่ได้มีการประกาศตัวเลขที่ชัดเจน ทำให้ผู้ประกอบการเร่งปิดความเสี่ยงด้วยการส่งมอบสินค้าล่วงหน้า เพื่อให้ทันกำหนดเวลาและหลีกเลี่ยงการเสียภาษีที่อาจมีอัตราสูงในอนาคต
ดังนั้น จึงเป็นที่น่าจับตาว่าเมื่อมาตรการภาษีของสหรัฐชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และเริ่มบังคับใช้เต็มรูปแบบแล้ว ในปีหน้าทิศทางการส่งออกทั่วโลกจะชะลอตัวลงหรือไม่ หรือจะมีมาตรการอื่นใดจากประเทศคู่ค้าเพื่อรองรับผลกระทบที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ แถลงการส่งออกของไทย เดือน ก.ค.2568 มีมูลค่า 28,580.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 11% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 13 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำและยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 16.6% ส่วนการนำเข้า มีมูลค่า 28,258.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 5.1% ส่งผลให้ไทยเกินดุล 322.1 ล้านดอลลาร์
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค.กล่าวว่าการส่งออกเติบโตต่อเนื่องแม้จะใกล้วันสิ้นสุดมาตรการยกเว้นภาษีศุลกากรตอบโต้ของสหรัฐในเดือน ส.ค.ผู้นำเข้าทั่วโลกยังเร่งนำเข้าเพื่อปิดความเสี่ยง ประกอบกับการที่รัฐบาลไทยสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนว่าจะบรรลุผลการเจรจาอัตราภาษีกับสหรัฐได้อย่างลุล่วง
รวมทั้งมีมาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบด้านภาษีของสหรัฐ เป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อธุรกิจส่งออกไทย ในขณะที่ดุลการค้าไทยเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 การส่งออกขยายตัวในอัตราสูงในเกือบทุกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม
ส่งออก 7 เดือนแรกขยายตัว 14.4%
ขณะที่ภาพรวมการส่งออก 7 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออก มีมูลค่า 195,432.6 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 14.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 195,172.7 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 10.6% ดุลการค้า เกินดุล 259.9 ล้านดอลลาร์ หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัวที่ 14.5%
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การส่งออกเดือน ก.ค.ขยายตัว 11% มาจากการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 10.9 % โดยสินค้าเกษตร ขยายตัว 21.5 %
ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ติดลบ 0.2 โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ น้ำตาลทราย และผลไม้กระป๋องและแปรรูป
ส่วนสินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ยางพารา ข้าว อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ไขมันและน้ำมันจากพืชและ เนื้อสัตว์และของปรุงแต่งที่ทำจากเนื้อสัตว์ ทั้งนี้ 7 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 3.5 %
สินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 14.0%
ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัว 14.0% โดยมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงวงจรไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์พลาสติก
ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์ และส่วนประกอบ ทั้งนี้ 7 เดือนแรกของปี 2568 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 18%
ตลาดส่งออกหลักขยาย 15.3%
ด้านการส่งออกลาดส่งออกสำคัญยังคงขยายตัวสูงต่อเนื่อง ทั้งในตลาดหลัก อาทิ สหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน และตลาดรอง อาทิ เอเชียใต้ รัสเซีย และสหราชอาณาจักร โดยมีปัจจัยหนุนต่อเนื่องจากการเร่งส่งออกก่อนมาตราการภาษีต่างตอบแทนของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้เต็มที่
โดยภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดหลัก ขยายตัว 15.3 โดยขยายตัวต่อเนื่องในตลาดสหรัฐ จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) อาเซียน (5 ประเทศ) และ CLMV ตลาดรอง ขยายตัว 7.7 %โดยขยายตัวในตลาดเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกา รัสเซียและกลุ่ม CIS และสหราช ขณะที่หดตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ตลาดอื่น ๆ หดตัว 51.7%
ไทยได้ดุลสหรัฐ 4.5 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ การส่งออกเฉพาะไทย-สหรัฐ เดือน ก.ค.2568 ส่งออก 6,295.7 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 1,748.7 ล้านดอลลาร์ เกินดุล 4,547.0 ล้านดอลลาร์ และรวม 7 เดือนของปี 2568 ส่งออก 39,707.7 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 12,333.2 ล้านดอลลาร์ เกินดุล 27,374.5 ล้านดอลลาร์
ส่วนการส่งออกไทยไปจีน เดือน ก.ค.2568 ส่งออก 3,628.2 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 9,649.4 ล้านดอลลาร์ ขาดดุล 6,021.2 ล้านดอลลาร์ รวม 7 เดือน ส่งออก 24,548.4 ล้านดอลลาร์ นำเข้า 59,164.2 ล้านดอลลาร์ขาดดุล 34,615.8 ล้านดอลลาร์
คาดส่งออก ส.ค.ชะลอตัวลง
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า แนวโน้มการส่งออกเดือน ส.ค.2568 ซึ่งเป็นเดือนที่อัตราภาษีสหรัฐ 19% มีผลบังคับใช้ น่าจะชะลอตัวลง แต่ยังขยายตัวเป็นบวกอยู่ ซึ่ง 5 เดือนที่เหลือของปี (ส.ค.-ธ.ค.) หากส่งออกได้เฉลี่ย 22,000-23,000 ล้านดอลลาร์ ทั้งปีจะส่งออกได้ตามเป้าหมาย 2-3% แต่เป็นไปได้ที่ส่งออกไทยปีนี้จะโต 2-3% เพราะ 7 เดือนขยายตัวถึง14 %แต่โอกาสที่จะถึง 2 หลักไม่น่าจะถึง
“การจะปรับเป้าใหม่หรือไม่นั้นขอดูตัวเลขเดือน ส.ค.ออกมาก่อนซึ่งกระทรวงจะประชุมหารือกับภาคเอกชน 3 สถาบัน ทั้งสภหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เพื่อประเมินตัวเลขกันอีกครั้ง”
ทั้งนี้ หลังจากไทยประสบความสำเร็จในการเจรจาลดภาษีนำเข้าสหรัฐจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งใกล้เคียงประเทศในภูมิภาคช่วยคลายความกังวลนักลงทุนและผู้ส่งออก ลดการเสียเปรียบในด้านการแข่งขัน
ลุยเข้มตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้า
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นก้าวสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและสหรัฐ โดยหลังจากนี้ไทยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนากลไกการตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าจริงจังขึ้นเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้า ขณะเดียวกันจะมีมาตรการช่วยเหลือที่เหมาะสมให้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีสินค้านำเข้าให้กับสหรัฐฯ ต่อไป
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า ยังต้องเฝ้าระวังปัจจัยกดดันการส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปี อาทิ การส่งออกชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หยุดชะงักไปจากสถานการณ์ความขัดแย้ง ปริมาณสินค้าคงคลังของประเทศผู้นำเข้าที่สะสมไว้ในช่วงก่อนการประกาศผลของการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจทำให้คำสั่งซื้อในอนาคตชะลอตัวลงจากภาคการส่งออก
“กระทรวงพาณิชย์จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อหามาตรการรับมือที่เหมาะสมต่อไป ในขณะที่การดำเนินการเชิงรุกเปิดตลาดการค้าและผลักดันการส่งออกไปยังตลาดใหม่ ๆ ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง”
สรท.ประเมินไตรมาส 3 ส่งออกโต0%
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า การส่งออกเดือน ก.ค.และภาพรวม 7 เดือน ถือว่ายังดี โดยที่ผ่านมาการส่งออกเติบโตจากการเร่งนำเข้า การจองพื้นที่ระวางเรือขนส่งสินค้ายังคงปกติ
อีกทั้งการส่งออกจีนยังไปได้เพราะภาษีทรัมป์ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้กับจีน และการส่งออกผ่านทรานชิปเม้นท์จากจีนยังส่งออกเหมือนเดิมแม้จะส่งออกผ่านไทยได้น้อย
แต่จากนี้ไปเดือน ส.ค.และ ก.ย.2568 คาดว่า การส่งออกของไทยจะชะลอตัวหรือไม่ขยายตัวเลย จากภาษีทรัมป์ที่มีผลบังคับใช้แล้ว คาดว่าภาพรวมไตรมาส 3 อาจไม่โตเลยหรือขยายตัว 0%
ทั้งนี้ จากการหารือกับหลายกลุ่มอุตสาหกรรมประเมินในทิศทางเดียวกันว่า ตัวเลขการส่งออกในไตรมาส 3 อาจติดลบหรือเป็น 0 % อย่างไรก็ตามก็หวังว่าสิ่งที่เราประเมินอาจจะไม่ใช่ก็ได้ นอกจากเรื่องทรัมป์แล้วยังมีเรื่องของเงินบาทที่แข็งค่ามากเป็นปัจจัยบั่นทอนการส่งออกของไทยซ้ำเติม ส่วนไตรมาส 4 ก็คาดว่า การส่งออกของไทยจะชะลอต่อเนื่องเช่นกัน