7 ข้อ ‘เรื่องเงิน’ ที่คนไทยมักผิดพลาด
‘Failing to plan is planning to fail’ หนึ่งในประโยคที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยครั้งเพื่อย้ำเตือนถึงความสำคัญของการวางแผน ซึ่งการวางแผนทางการเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น เพราะหากเราขาดการวางแผนที่ดี ผลลัพธ์ในอนาคตก็มักจะออกมาในทางที่ไม่ดีนัก
“การวางแผนการเงินคือการออกแบบชีวิตว่าอยากได้ชีวิตแบบไหน แล้วการเงินจะช่วยเราได้อย่างไร แต่ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่ความไม่แน่นอนสูงมาก ทำให้หลายคนมองข้ามการวางแผนการเงิน และโฟกัสที่การหารายได้เพียงอย่างเดียว แต่ยิ่งมีความไม่แน่นอนสูง เราต้องยิ่งจริงจังกับการวางแผนการเงินมากขึ้น เพราะนี่คือส่วนที่เราควบคุมได้” ดร.ณชา อนันต์โชติกุล หัวหน้าฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์เงินฝาก ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวถึงความสำคัญของการวางแผนทางการเงินที่ยิ่งสำคัญมากขึ้นไปอีกในภาวะเศรษฐกิจไทยที่ไม่แน่นอนสูง
ดร.ณชา กล่าวต่อว่า หากมองย้อนกลับไปตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งตลาดหุ้นไทยและเศรษฐกิจไทยเป็นขาลงมาตลอด อย่างหุ้นไทยช่วง 10 ปีแรกของ 20 ปีที่ผ่านมา โตเฉลี่ย 10-15% ต่อ 10 ปีล่าสุด โตเพียง 0-5% ซึ่งกระทบต่อชีวิตคนแน่นอน ขณะที่เศรษฐกิจขาลงก็ทำให้รายได้อาจจะไม่เท่าเดิม มีคนถูกเลิกจ้างมากขึ้น
1. ไม่วางแผนการเงิน และไม่รู้ว่าสำคัญ
Credit: Peter Cade / Getty Images
คนไทยในภาพรวมที่คิดวางแผนการเงินมีสัดส่วน 66% อาจไม่ได้น้อยมาก แต่ผู้ที่ทำได้ตามแผนมีเพียง 16% ขณะที่คนรุ่น Baby Boomer ซึ่งเป็นวัยเกษียณ ซึ่งควรจะทำตามแผนการเงินได้สำเร็จเป็นส่วนใหญ่ กลับมีเพียง 20% ที่ทำได้ตามแผน นอกจากนี้มีคนไทยเพียงแค่ 30% ที่มีเงินเพียงพอจะเกษียณ
2. วางแผนเกษียณตอนใกล้เกษียณ
Credit: Nora Carol Photography / Getty Images
การเริ่มวางแผนเร็วได้เปรียบกว่ามาก เพราะเราจะมีเวลาค่อนข้างมากที่จะมีรายรับเข้ามาเพิ่มเติม หากเริ่มวางแผนเกษียณช่วงใกล้เกษียณ เราจะต้องเก็บเงินก้อนใหญ่มาก ในขณะที่รับความเสี่ยงได้น้อยลง
หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การเก็บเงินเพื่อลงทุนเดือนละ 5,000 บาท ได้ผลตอบแทน 7% ต่อปี หากมีเวลา 30 ปี เงินก้อนนี้จะกลายเป็น 5.89 ล้านบาท แต่ถ้ามีเวลา 10 ปี เราจะมีเงินเพียง 8.7 แสนบาท
3. ไม่คำนึงถึงความไม่แน่นอนของรายได้
Credit: Tom Werner /Getty Images
ในภาวะที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน หลายคนอาจยังคาดหวังว่าจะมีรายได้เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นไปตลอด สิ่งที่ต้องระวังคือในอนาคตรายได้อาจลดลงได้จากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
4. มีหลักประกันไม่เพียงพอ
Credit: courtneyk / Getty Images
อีกส่วนที่หลายคนมองข้ามคือประกัน เมื่อประสบปัญหาสุขภาพอาจกระทบต่อเงินออม หรือแม้แต่แผนที่วางไว้ทั้งหมด ทำให้เราถูกบังคับให้ต้องนำเงินออมหรือเงินลงทุนไปใช้จ่ายแทน ประกันเป็นการลดความเสี่ยงที่โอกาสจะเกิดน้อย แต่หากเกิดขึ้นมาจะมีความเสียหายมาก ปัจจุบันคนไทยที่มีประกันชีวิตมีสัดส่วนไม่ถึง 40%
5. ไม่คำนึงถึงเงินเฟ้อ
Credit: Fly View Productions /Getty Images
เงินเฟ้อที่ว่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศในแต่ละไตรมาส แต่เป็นเงินเฟ้อที่อิงจากการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลด้วย อย่างกลุ่มที่ส่งลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 5% หรือค่ารักษาพยาบาลโรงพยาบาลเอกชนที่เพิ่มขึ้นปีละ 8-9%
ถามว่าเงินเฟ้อส่งผลต่อเงินออมของเราอย่างไร สมมติว่าเราวางแผนจะมีเงินใช้จ่าย 30,000 บาทต่อเดือนไปอีก 25 ปี หลังจากเกษียณเมื่ออายุ 60 ปี ต้องมีเงินเก็บ 9 ล้านบาท แต่หากคำนวณเงินเฟ้อ 3% ต่อปีเข้าไปด้วย จะต้องมีเงินเก็บ 18.8 ล้านบาท
6. ไม่ลงทุนเลย
Credit: d3sign / Getty Images
หลายคนมองว่าการไม่ลงทุนเท่ากับไม่เสี่ยง ซึ่งไม่จริง เพราะระยะยาวค่าครองชีพจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้อำนาจการซื้อของเงินลดลง จึงต้องบริหารเงินเพื่อเอาชนะเงินเฟ้อให้ได้
7. ไม่กระจายความเสี่ยง
Credit: primeimages / Getty Images
บางส่วนอาจจะลงทุนแบบกระจุกตัวมากเกินไป หรือเสี่ยงมากเกินไป ทำให้แผนระยะยาวถูกกระทบเมื่อภาวะตลาดไม่เป็นใจ