นโยบาย"ทรัมป์" กระทบ"เที่ยวอเมริกา" นักท่องเที่ยวต่างชาติน้อยลง นิวยอร์ก-LA กระทบหนักค้าปลีกวูบ
การท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกา เจอกับภาวะขาลง? เหตุนักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวหนัก
นักท่องเที่ยวต่างชาติวูบหายไปจากอเมริกา สาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ เช่น การต่อต้านประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ การขึ้นราคาวีซ่า ไปจนถึงการถูกเลือกปฎิบัติเวลาไปเที่ยวในสหรัฐฯ แต่แน่นอนว่าสิ่งที่หายไปไม่ใช่แค่เพียงแค่คน แต่หมายถึงเงินและรายได้ที่ลดลงไปอย่างหนักด้วย
รายได้ที่หายไปพร้อมกับนักท่องเที่ยวที่ชัดเจนที่สุดตอนนี้ ก็ คือ รายได้จากภาคค้าปลีกในสหรัฐอเมริกา ล่าสุดรายงานจากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg IntelligenceI) และทราเวล แอนด์ ทัวร์ เวิลด์ (Travel and Tour World) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ธุรกิจ หรือร้านค้าปลีกต่างๆ ทั่วเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ กำลังเจอกับวิกฤต เนื่องจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไปลดลงไปอย่างมาก และยังคาดว่ามูลค่าการขายปลีกจะหายไปถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้
รายงานระบุว่า แบรนด์หรูและร้านค้าปลีกชื่อดังในตัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะนิวยอร์ก ลอสแอนเจลิส และชิคาโก ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เพราะเมืองเหล่านี้ต้องพึ่งพาการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มของธุรกิจเสื้อผ้า สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าลักซูรี่
ข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลงเช่นนี้ มาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศตลาดหลักๆ ส่งผลทำให้กำลังซื้อลดลง ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็มีผลทำให้นักท่องเที่ยวรู้สึกลังเลที่จะมากชอปปิงใช้จ่ายในสหรัฐฯเพราะมองว่าต้องจ่ายในราคาที่ขึ้น
ทราเวล แอนด์ ทัวร์ เวิลด์ ระบุว่า ถ้านับเพียงแค่นิวยอร์กเพียงแค่เมืองเดียว คาดว่าสหรัฐฯจะสูญเสียรายได้จากการค้าปลีกไปถึง 4 พันล้านดอลลาร์ แต่ถ้ามองที่ลอสแอนเจลิสด้วย อาจต้องบวกความเสียหายทางเศรษฐกิจไปอีกประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
ขณะที่สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สิ่งที่เกิดขึ้น หรือ ตัวเลขดังกล่าวที่ออกมา เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าตอนนี้แนวโน้มการท่องเที่ยวระหว่างประเทศยังไม่กลับมา หรือยังไม่สามารถฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ นับตั้งแต่มีการหดตัวลงอย่างรุนแรงมตั้งแต่ช่วงยุคโควิด-19 แถมนักวิเคราะห์ในรายงานของบลูมเบิร์กยังเตือนอีกว่า แนวโน้มที่ว่านี้อาจจะยังยืดเยื้อยาวไปจนถึงปีหน้า (2569 ) หากภาวะเศรษฐกิจโลกยังไม่สามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนหรือมีนัยสำคัญ
ดังนั้นเพื่อทางออกในระยะสั้น ตอนนี้มีรายงานว่าห้างร้านต่างๆ หรือบรรดาร้านค้ากลุ่มผู้ค้าปลีกในเมืองใหญ่ๆ บางรายเริ่มเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเอาตัวรอด จากต่างชาติ หันมาขายคนอเมริกันมากขึ้น เป็นการปรับกลยุทธ์หันมาเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในประเทศ ผ่านการจัดโปรโมชันและโปรแกรมสะสมคะแนน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยกำลังซื้อที่มีอยู่ในประเทศนั้น อาจจะยังไม่มากมากเพียงพอที่มาจะมาทดแทนรายได้มหาศาลจากเหล่านักท่องเที่ยวต่างชาติได้ทั้งหมด จากมุมมองของนักวิเคราะห์
"แคนาดา" เบอร์หนึ่งงดท่องเที่ยวอเมริกา
สื่อของสหรัฐฯ รายงานอิงข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวว่า ในปีนี้ปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติในสหรัฐจะหายไป 5.1% และการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะลดลง 11% ซึ่งจะส่งผลทำให้รายได้เข้าประเทศจะหายไป 18,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 625,000 ล้านบาท)
แต่ทางสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจได้เตือนว่า หากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป สหรัฐฯ อาจสูญเสียรายได้จากการท่องเที่ยวพุ่งไปมากกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวที่จะหายไปจากสหรัฐฯ มากสุดคือ ชาวแคนาดา ที่จะลดลงไป 30% ซึ่งส่วนใหญ่ไม่พอใจมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และมองว่าสหรัฐฯ ทำร้ายประเทศเพื่อนบ้าน ขณะที่ชาวยุโรปและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายเศรษฐกิจและนโยบายทางเพศต่าง ๆ ของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดนี้ ก็เดินทางมาเที่ยวสหรัฐฯ น้อยลงเช่นกัน
สำนักงานการเดินทางและท่องเที่ยวสหรัฐฯ ระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสหรัฐฯ อยู่ในช่วงขาลง โดยปี 2018 และ 2019 เคยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมากถึง 80 ล้านคน แต่ในปีที่ผ่านมาปี 2024 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่เพียงแค่ 72 ล้านคน และหากเป็นไปตามปัจจัยต่างที่บอกมาข้างต้น ก็คาดการณ์ว่าปีนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติจะลดลงจากปีก่อน คือ ต่ำกว่า 72 ล้านคน
นอกจากนี้จากสำรวจความคิดเห็นยังพบว่า ปัจจุบันนี้ทัศนคติเชิงบวกที่ผู้คนมีต่อสหรัฐฯ และชาวอเมริกัน ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะในหมู่ชาวยุโรป อยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยประเทศที่ต่ำสุด คือ เดนมาร์ก เพราะประชากรส่วนใหญ่ไม่พอใจที่สหรัฐฯ จะผนวกกรีนแลนด์ของเดนมาร์กไปเป็นของตนเอง
ผลสำรวจพบ "อาเซียน" อยากเที่ยวอเมริกาน้อยลง เหตุถูกเลือกปฎิบัติ
เปิดผลสำรวจจาก CNBC Travel พบว่า นักท่องเที่ยวจากอาเซียน ซึ่งมีตั้งแต่ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เกือบ 80% ของทั้งหมดนี้ มองว่าประเทศสหรัฐอเมริกาหมดเสน่ห์แล้ว ไม่น่าเที่ยว ไม่ดึงดูดเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งคนที่ตอบแบบสำรวจประมาณ 1 ใน 4 ระบุว่า พวกเขาสนใจไปสหรัฐฯ น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วง 6 เดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้สาเหตุส่วนใหญ่ มาจากความกังวลเรื่องการเลือกปฏิบัติ และการปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย (60%) ตามมาด้วย นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ (54%) และความไม่ปลอดภัยจากเหตุรุนแรง (53%)
และไม่เพียงแค่นี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆที่มาซ้ำเติมอีก เช่น มองว่ามีค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่สูง (41%) ข่าวการขึ้นภาษี (38%) การกักตัวตามด่านตรวจคนเข้าเมือง (37%) แม้กระทั่งเหตุผลเพราะทรัมป์เป็นประธานาธิบดี (34%) ข้อจำกัดด้านวีซ่า (32%) รวมไปถึงคำแนะนำจากรัฐบาลประเทศตนเองว่าไม่ควรเดินทาง (15%)
อย่างไรก็ตามเมื่อกลับไปดูเป็นรายประเทศ พบว่านักท่องเที่ยวจากเวียดนาม (57%) และฟิลิปปินส์ (49%) สนใจจะไปสหรัฐฯ มากขึ้นในช่วงหลัง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมองว่า อาจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในชาติกับชาวอเมริกัน และอิทธิพลจากสื่อสหรัฐฯ ตรงข้ามกับสิงคโปร์ที่เป็นประเทศที่มีแนวโน้มที่ลดลงมากที่สุด โดย 55% สนใจไปเที่ยวสหรัฐฯ น้อยลง และมีเพียง 7% ที่สนใจมากขึ้นจากช่วงปลายปีที่แล้ว
ขณะที่สหรัฐฯอเมริกา เองก็ยังคงมีนโยบายที่สวนทางกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวจากต่างชาติ เช่น ล่าสุด คือการประกาศเตรียมขึ้นค่าธรรมเนียมนักท่องเที่ยว ที่มาจากร่างกฎหมายชุดใหม่ที่ยิ่งใหญ่และงดงาม หรือ One Big Beautiful Bill Act ที่่มาจากนโยบายของทรัมป์ เพื่อหาเงินไปดูแลความมั่นคงชายแดน การอัปเกรดระบบตรวจคนเข้าเมือง และจัดการผู้อพยพผิดกฎหมาย
หนึ่งในค่าธรรมเนียมที่กระทบมากที่สุด ก็คือ "Integrity Fee" ซึ่งจะเรียกเก็บจากผู้ขอวีซ่าชั่วคราวทุกประเภท (Non-immigrant visas) ตั้งแต่ นักท่องเที่ยว นักเรียน และนักธุรกิจทั่วโลก โดยทุกคนต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 250 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9,100 บาท หมายความว่า คนไทยที่สมัครขอวีซ่า B1/B2 เข้าสหรัฐฯ อาจจะต้องจ่ายเงินมากถึง 435 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 15,000 บาท เมื่อรวมกับค่าธรรมเนียมเดิมที่มีอยู่แล้ว 185 ดอลลาร์ ซึ่งนักวิเคราะห์จาก American Immigration Council ระบุว่า การขึ้นค่าธรรมเนียมในลักษณะนี้อาจทำให้คนจำนวนหลายแสนคนที่เคยจ่ายไหว ไม่สามารถเดินทางได้เข้าสู่สหรัฐฯได้อีกต่อไป
จับตาดูว่า การท่องเที่ยวในสหรัฐฯ จะเป็นอย่างไรต่อไป โดยเฉพาะงานใหญ่ๆ ระดับโลกที่กำลังจะจัดขึ้นในสหรัฐฯ ที่ปกติแล้วจะสามารถดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้ามาท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เช่น ฟุตบอลโลก ในปีหน้า(2026) และโอลิมปิก ในนครลอสแองเจลิส ที่จัดขึ้นในอีกสามปีนี้ (2028)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ที่ปรึกษาทรัมป์เผยอินเดียมอบเงินให้รัสเซียทำสงครามกับยูเครน
- "อินเดีย" ไม่สนคำขู่ "ทรัมป์" เดินหน้าซื้อน้ำมันรัสเซีย
- "ทารกอายุมากที่สุดในโลก" ถือกำเนิดจากตัวอ่อนที่ถูกแช่แข็งนานกว่า 30 ปี
- ผู้นำบราซิลโวยทรัมป์ ใช้การเมืองขึ้นภาษี ประกาศพร้อมตอบโต้สหรัฐฯ
- ทรัมป์ผุดไอเดียใช้รายได้จากภาษีจ่ายเป็น "เงินปันผล" ให้ชาวอเมริกัน