เร่งสรุปแผนรับมือวิกฤตน้ำมันฯ 5 ปียึดหลักดูแลเสถียรภาพราคาพลังงาน
นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำแผนรองรับวิกฤตการณ์ด้านน้ำมันเชื้อเพลิง ระยะ 5 ปี (2568-2572)จากแผนเดิมมีระยะเวลา 2563-2567 ซึ่งต้องมีการทบทวน หลักเกณฑ์การดูแลเสถียรภาพราคาพลังงานให้สอดคล้องกับสภาวะที่แท้จริงมากขึ้น เนื่องจากมีตัวแปรหลายด้านที่มีการเปลี่ยนแปลงไป
ทั้งนี้ต้องกำหนดแนวทางการบริหารกองทุนน้ำมันฯและคำนิยามของวิกฤตพลังงานให้ทันกับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งกรณีดีเซลเดิมกำหนดว่าราคาเกินระดับ 30 บาท/ลิตรถือเป็นระดับวิกฤตแต่ขณะนี้ราคาดีเซลเฉลี่ย 32-33 บาท หรือกรณีราคาน้ำมันตลาดโลกปรับขึ้นเร็วใน1 สัปดาห์รวมกันมากกว่า 5 เหรียญสหรัฐ ส่งผลให้ราคาขายปลีกในประเทศปรับขึ้นมากกว่า 1 บาท/ลิตร ประเด็นเหล่านี้ต้องนำมาพิจารณาใหม่ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สำหรับการดูแลราคาพลังงานในช่วงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะกลุ่มน้ำมันดีเซล ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับภาคขนส่งและค่าครองชีพของประชาชน กองทุนน้ำมันฯ ได้เข้าไปบริหารจัดการผ่านกลไกอัตราเงินกองทุนน้ำมันฯ ในการรักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีกในประเทศ ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนมากจนเกินไป
ทั้งนี้คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง(กบน.)ได้มีมติเร่งด่วน จำนวน 5 ครั้งภายในเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์เพื่อลดผลกระทบ โดยเริ่มจากลดอัตราเงินจัดเก็บของกลุ่มน้ำมันดีเซลจากเดิมจัดเก็บอยู่ที่ 2.40 บาทต่อลิตร เป็นการต้องชดเชยอยู่ที่ 0.65 บาทต่อ เพื่อคงราคาขายปลีกไม่ให้เกิน 32 บาทต่อลิตร ทำให้สามารถตรึงราคาหน้าปั๊มน้ำมันไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระค่าครองชีพให้ประชาชนในช่วงเวลาสำคัญ
อย่างไรก็ตามแม้การรักษาเสถียรภาพ และตรึงราคาน้ำมันในช่วง 12 วันที่ผ่านมา จะส่งผลให้สภาพคล่องของกองทุนน้ำมันฯประเภทน้ำมันดีเซลติดลบ คือมีรายจ่ายสูงสุดประมาณวันละ 40.75 ล้านบาทต่อวัน แต่เมื่อสถานการณ์สงครามอิสราเอล-อิหร่าน เริ่มคลี่คลายจากการไกล่เกลี่ยของสหรัฐฯ ราคาน้ำมันโลกก็เริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้กองทุนน้ำมันฯ กลับมาจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ได้อีกครั้ง
ปัจจุบันกลุ่มน้ำมันดีเซลมีรายรับประมาณวันละ 57.41 ล้านบาท และกลุ่มน้ำมันเบนซิน มีรายรับประมาณวันละ 96.17 ล้านบาท (รายละเอียดอยู่ในตาราง) ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ณ วันที่ 13 กรกฎาคม 2568 กองทุนน้ำมันฯ ติดลบอยู่ที่ 31,588 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันบวกอยู่ที่ 12,406 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 43,994 ล้านบาท
ขณะที่มีภาระหนี้จากการกู้เงินสถาบันการเงินที่ยังต้องชำระคืนอีกกว่า 5.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งยังสามารถจ่ายหนี้ได้ตามแผนที่กำหนดไว้ และหากไม่มีเหตุการณ์สงครามหรือปัจจัยอื่นๆมาเพิ่มเติม คาดว่าฐานะกองทุนน้ำมันฯจะสามารถเป็นบวกได้ภายในสิ้นปีนี้
เมื่อเปรียบเทียบสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน กับกรณีสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน จะพบความแตกต่างในเชิงผลกระทบ และความยืดเยื้ออย่างชัดเจน ซึ่งกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ช่วยเพิ่มวิธีการบริหาร และความรอบคอบในการกำหนดมาตรการบริหารกองทุนน้ำมันฯ ในปัจจุบัน และอนาคต
ปัจจุบันกระทรวงพลังงานยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสถานการณ์ในทะเลแดง และภูมิภาคอื่นๆ ที่อาจส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน กระทรวงพลังงานโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจขึ้นมาดูแล ได้แก่ คณะกรรมการเตรียมการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซธรรมชาติ (LNG) ซึ่งมี นายสราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เป็นประธาน และมีตน (นายพรชัย จิรกุลไพศาล) ร่วมเป็นกรรมการในชุดนี้ โดยคณะกรรมการดังกล่าวจะทำหน้าที่เตรียมการจัดหาน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เพื่อรองรับสถานการณ์พลังงานจากวิกฤตในตะวันออกกลาง และปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อย่างรอบด้าน
“บทเรียนจากวิกฤตน้ำมันช่วงที่ผ่านมา สะท้อนถึงความจำเป็นของกลไกกองทุนน้ำมันฯ ที่มีความยืดหยุ่น ทันต่อสถานการณ์ และมุ่งมั่นดูแลประชาชนทุกระดับอย่างเท่าเทียม สะท้อนการทำหน้าที่และบทบาทของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในการรักษาเสถียรภาพด้านราคาพลังงานให้กับประชาชนในช่วงวิกฤตการณ์ด้านราคาพลังงานเสมอมา ด้วยหลักการเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้กรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2562 พร้อมขอขอบคุณผู้ค้าน้ำมันที่ให้ความร่วมมือในการสนับสนุนภารกิจสำคัญในช่วงเวลาดังกล่าว”