KKP ปรับ GDP ไทย ปี 68 เหลือ 1.6% หลายความเสี่ยงรุมเร้า
KKP ปรับ GDP ปี 68 เหลือ 1.6% เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังแรงกดดันรอบด้าน ความเสี่ยงการเมืองในประเทศเพิ่มเติม
30 มิ.ย.2568 KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่าKKP Research ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่ได้รับประโยชน์จากการปรับตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจโลกตามสถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐ ฯ และจีนที่ปรับตัวดีขึ้นมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศยังคงเผชิญแรงกดดันหลายด้านทั้งปัจจัยเชิงโครงสร้างระยะยาว และปัจจัยลบในปี 2025
ที่สำคัญ คือ การชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน การผลิตภาคอุตสาหกรรมที่มีโอกาสกลับมาชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี การบริโภคในประเทศที่ยังคงอ่อนแอตามสินเชื่อที่หดตัว ตลอดจนความไม่แน่นอนทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้KKP Research ปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 2025 เหลือ 1.6% จาก 1.7% และปี 2026 เหลือ 1.5%**
KKPประเมินเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันด้านลบ
โดยKKP ประเมินว่า 3 ปัจจัยที่สำคัญที่จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงหลังจากนี้ คือ
1) ทิศทางการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวจีน โดยในช่วงที่ผ่านมานักท่องเที่ยวจีนหดตัวลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียงประมาณ 30% - 40% ของระดับก่อนโควิด-19 เป็นผลจากความกังวลด้านความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนหลังเกิดกรณีลักพาตัว และการเข้ามาของคู่แข่งใหม่ ๆ เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม นอกจากนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเทียบเทียบกับเงินหยวนส่งผลให้การมาเที่ยวไทยแพงกว่าที่อื่น ๆ โดยเปรียบเทียบ KKP ประเมินนักท่องเที่ยวทั้งปีที่ 33.6 ล้านคนหดตัวลงจากปีก่อนเป็นครั้งแรกตั้งแต่หลังโควิด-19
2) การเร่งตัวของการส่งออกที่มากผิดปกติก่อนการขึ้นภาษีในช่วงต้นปี ส่งผลต่อการขยายตัวของการผลิตภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการส่งออกที่ผ่านมา ไม่ส่งผลบวกมากนักต่อภาคการผลิตและเศรษฐกิจไทย และมีโอกาสสูงที่ครึ่งหลังของปีจะเห็นการชะลอตัวลง โดยเกิดจาก 1) การส่งออกบางส่วนใช้สินค้าคงคลังที่เหลืออยู่เพื่อการส่งออกแต่ไม่ได้มีการผลิตใหม่เพิ่มเติม 2) การส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ มีแนวโน้มเป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าจากประเทศอื่นเพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐ ฯ แต่ไม่มีผลมากต่อการผลิตในประเทศ KKP Research ประเมินว่าภาคอุตสาหกรรมน่าจะปรับตัวดีขึ้นในระยะสั้น แต่อาจจะกลับมาชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี
3) การบริโภคมีแนวโน้มชะลอตัวตามการชะลอตัวของสินเชื่อ สินเชื่อในระบบการเงินยังคงหดตัวต่อเนื่อง ทั้งในภาคธุรกิจขนาดใหญ่ SME และครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มเช่าซื้อและอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงและระดับหนี้เสียที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นชัดเจน การบริโภคในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัว
เศรษฐกิจไทยครึ่งหลังยังท้าทาย มีโอกาสเข้าสู่ Technical Recession
จากหลายปัจจัยลบที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ในครึ่งปีหลังของปี 2025 ไทยกำลังจะต้องเผชิญแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศพร้อม ๆ กัน ซึ่งอาจทำให้ไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิคได้
โดยปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจะทยอยหมดไป คือ 1) แรงส่งจากฐานต่ำของการลงทุนภาครัฐในปีก่อน 2) การเร่งการส่งออกที่สูงผิดปกติในช่วงต้นปีก่อนการขึ้นภาษี 3) การท่องเที่ยวที่จะทยอยชะลอตัวลงโดยจำนวนนักท่องเที่ยวอาจเริ่มติดลบในช่วงครึ่งหลัง ประกอบกับเศรษฐกิจในประเทศเดิมของไทยที่อ่อนแออยู่ก่อนแล้ว
3 ความไม่แน่นอนอาจทำให้ไทยชะลอกว่าคาด
สถานการณ์ปัจจุบันมีความไม่แน่นอนสูงมาก ทำให้การประเมินเศรษฐกิจทำได้ยากมากขึ้น KKP Research ประเมินว่าทิศทางของเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มชะลอลงในช่วงครึ่งหลัง และยังมีปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 3 เรื่องที่อาจทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ต่ำกว่าที่ประเมินไว้
1) ความไม่แน่นอนทางการเมืองและข้อจำกัดของภาครัฐ ความเปราะบางทางการเมืองทวีความรุนแรงขึ้นหลังพรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล ทำให้พรรคร่วมรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ มีความเสี่ยงที่การพิจารณา ร่าง พรบ. งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 อาจจะล่าช้าหรือไม่สามารถผ่านได้ โดยในอดีตการเบิกจ่ายงบประมานที่ล่าช้าตัวเป็นฉุดการเติบโตทางเศรษฐกิจได้มากถึง 1.0 – 1.5ppt ต่อไตรมาส หรือประมาน 0.3ppt – 0.5ppt ต่อการเติบโตของ GDP ทั้งปี
2) สงครามการค้าและการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ฯ การเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ ยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยอัตราภาษีแรกที่ไทยถูกเรียกเก็บจากสหรัฐ ฯ คือ 36% ก่อนจะมีการลดลงชั่วคราวมาที่ระดับ 10%KKP Research ประเมินว่าในกรณีของการเก็บภาษีกลับไปที่ 36% จะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจทั้งปีประมาน 0.8ppt เทียบกับกรณีที่ไม่มีการเก็บภาษีเลย
3) สงครามระหว่างอิหร่าน อิสราเอลและผลต่อราคาน้ำมัน ความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคตะวันออกกลางทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงต่อเนื่องอาจผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะที่คล้าย “stagflation” หรือภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวควบคู่กับการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยไทยมีดุลการค้าพลังงานขาดดุลในระดับประมาณ 8% ของ GDP สูงที่สุดในภูมิภาค ซึ่งหมายความว่าหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 10% ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยอาจลดลงราว 0.5% ของ GDP และ GDP ของไทยลดลงราว 0.3%
KKPมองนโยบายการเงินต้องมีบทบาทมากขึ้น
ในสภาวะที่นโยบายการคลังมีข้อจำกัดจากระดับหนี้สาธารณะเข้าใกล้เพดานหนี้ที่ 70% ต่อ GDP ขาดดุลการคลังที่อยู่ในระดับสูง และภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น KKP Research เชื่อว่านโยบายการเงินจะต้องมีบทบาทมากขึ้นในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 3 ครั้ง หรืออีก 0.75 % ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสุดท้ายลดลงเหลือ 1.0% จาก 1.25% ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 และอาจต้องพิจารณาทางเลือกเชิงนโยบายในการแก้ไขข้อจำกัดของการส่งผ่านของนโยบายการเงิน โดยเฉพาะช่องทางสินเชื่อของธนาคาร
เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2025 เผชิญกับแรงกดดันจากหลายด้านและยังมีความไม่แน่นอนสูงที่อาจทำให้เศรษฐกิจโตได้ต่ำกว่าคาด การรับมือสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้จะต้องใช้การประสานนโยบายอย่างรอบด้าน ระหว่างนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย นโยบายการคลังที่แม่นยำ และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในระยะยาว