จิตแพทย์แนะวิธีรับมือ เมื่อต้องอยู่ท่ามกลาง 'ความรุนแรง'
จากกรณีเมื่อช่วงเช้าวันที่ 15 ส.ค. 2568 นายทหาร สังกัดกองร้อยทหารราบ ที่ 1623 ได้ออกจากที่ตั้งโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมอาวุธปืนเล็กยาวและกระสุนจำนวนหนึ่ง ก่อเหตุ ทำร้ายประชาชน บาดเจ็บ 2 ราย ที่ อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เบื้องต้นทราบว่าเป็นเพราะความเครียดนั้น
นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์ และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ทหารที่ก่อเหตุนั้น ขอให้ทางฝ่ายความมั่นคงเป็นผู้ชี้แจงในรายละเอียด แต่ถ้าพูดโดยหลักการทั่วไป ในประชาชนทั่วไปที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่มีความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด เช่น พื้นที่มีความเสี่ยง พื้นที่มีความขัดแย้ง หรือเป็นความรุนแรงที่รับรู้ผ่านโลกโซเชียลมีเดีย หรือความรุนแรงจากความเห็นที่ขัดแย้งกัน มีการโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
"คนที่อยู่ในสภาวะเช่นนี้ก็จะมีความเครียดสูงกว่าคนทั่วไป ซึ่งความเครียดนี้ก็จะนำมาสู่หลายอย่าง เช่น ปัญหาสุขภาพจิต หรืออาจจะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อตัวเอง ส่วนมากก็จะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อตัวเอง แต่ก็จะมีส่วนหนึ่งที่จะพัฒนาเป็นความรุนแรงต่อผู้อื่น"นพ.วรตม์ กล่าว
ในระยะสั้นคนที่อยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง นอกจากจะมีความเครียดแล้ว ในระยะยาวก็จะ ซึมซับความรุนแรงนั้นบางคนอาจจะเกิดความรู้สึกชินชาเฉยชาต่อความรุนแรง หรือบางคนอาจจะพัฒนาเป็นความรู้สึกมองโลกในแง่ลบ เช่น เห็นความรุนแรงบนโลกออนไลน์ก็จะมองว่า โลกนี้ไม่น่า มีแต่คนที่ก้าวร้าวใส่กัน มีแต่คนที่มุ่งมาดอาฆาตซึ่งกันและกัน เป็นต้น ก็จะวนกลับมาเป็นความเคยชินต่อความรุนแรง กลายเป็นคนที่ยอมรับความรุนแรงว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะต่อตนเองหรือกระทำต่อผู้อื่น
วิธีจัดการกับความรู้สึกถ้ายังต้องอยู่กับสภาวะที่มีความรุนแรง นพ.วรตม์ กล่าวว่า ถ้าเป็นไปได้หากอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรง ขอให้ออกมาจากสถานการณ์นั้นก่อน เช่น ถ้าต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ หรือครอบครัวที่มีความรุนแรงแล้วเราสามารถออกมาจากตรงนั้นได้หรือไม่ หรือถ้ามีการเสพข้อมูลความรุนแรงผ่านสื่อต่างๆ ก็ขอให้หยุดเอาไว้ก่อน หยุดเติมความรุนแรงเข้าสู่ร่างกาย
แล้วประเมินอารมณ์ความรู้สึก ความคิด พฤติกรรมของตัวเองว่า มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เช่นเดิมไม่ได้เป็นคนใช้ความรุนแรง ไม่ได้เป็นคนมีความคิดมุ่งมาดอาฆาตใคร ทำร้ายใคร ไม่ได้เป็นคนพูดจาร้ายกาจ หรือเกลียดชัง แต่ระยะนี้กลับมีพฤติกรรมเหล่านี้
และถ้าส่งผลต่อตัวเองและคนรอบข้างก็ต้องถามกลับว่ามาจากสาเหตุอะไร แล้วเอาตัวเองออกมาจากตรงนั้น ปรึกษาใครสักคนหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และหากิจกรรมอื่นทำ เพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมีความสุข ไม่ต้องไปอยู่ท่ามกลางความรุนแรงเหล่านั้น
หากจำเป็นต้องอยู่ในพื้นที่ที่มีความรุนแรง จะมีวิธีการจัดการ อารมณ์ความรู้สึกตัวเอง ถ้าสถานการณ์บีบบังคับให้ยังต้องอยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงนั้น ก็อาจจะต้อง ดูแลประเมินตัวเองอย่างใกล้ชิด รวมถึงคน รอบข้างก็ต้องช่วยกันประเมิน หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เป็นระยะ เพื่อดูแล แต่ถ้าเริ่มแย่ลงมากจริงๆ ต้องให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็วที่สุด เพื่อทำให้ลดผลกระทบลงได้มากที่สุด
ถ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงที่จะไม่รับรู้หรืออยู่ในความรุนแรงนั้น ขอให้ทำกิจกรรมเสริมเพิ่มเติมบางอย่างที่รู้สึกมีความสุข รู้สึกสนุก อย่างน้อย ก็ทำให้ชีวิตประจำวันไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องความรุนแรงเพียงอย่างเดียว และถ้าเป็นไปได้สิ่งสำคัญคือฝึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แม้คนนั้นจะมีความเห็นไม่ตรงกับเราก็ตาม ก็จะไปช่วยบาลานซ์ความรุนแรงที่มีในใจได้
สำหรับการดูแลสภาพจิตใจของประชาชนในพื้นที่สู้รบตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา ขณะนี้เป็นอย่างไรบ้าง นพ.วรตม์ กล่าวว่า ทีม MCATT กรมสุขภาพจิต เองก็ยังไม่ได้หยุดทำงานแม้ว่าจะมีประชาชนกลับเข้าบ้านเรือนแล้ว เรายังมีการลงพื้นที่กระจายตัวไปยังหมู่บ้านไปตามบ้านเรือนต่างๆ เพื่อทำกิจกรรมฟื้นฟู ต้องดูแลประชาชนแบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มที่อยู่ใกล้สถานการณ์ กลุ่มกลางๆ กลุ่มที่อยู่ไกลออกมาหน่อย และกลุ่มที่เสี่ยงป่วย เป็นต้น
ทีมจะไปทำกิจกรรมวัคซีนใจเพื่อสร้างความปลอดภัยในชุมชน สร้างระบบสอดส่องมองหา พูดคุยรับฟังกันในชุมชน โดยขอให้ประชาชนยังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ถึงจะกลับเข้าไปใช้ชีวิตประจำวันแล้ว แต่มีหลายคนที่เพิ่งประสบเหตุ ความรุนแรงเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตจึงยังมีผลกระทบทางด้านจิตใจ บางคนอาจจะยังไม่เกิดขึ้นทันทีอาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้เป็นเดือน 2 เดือนก็ได้เพราะฉะนั้นเราจึงต้อง ติดตามต่อเนื่อง และขอให้ประชาชนติดตามดูสุขภาพจิตใจของตัวเองด้วย
ส่วนผลการคัดกรอง ผู้มีความเครียดสูงเสี่ยงฆ่าตัวตายเกือบ 500 คน ซึ่งผ่านการประเมินจากนักจิตวิทยา มีการเยียวยาปฐมพยาบาลทางใจเบื้องต้นทุกคน พูดคุย ติดตามทุกคน แต่ยอมรับว่าส่วนหนึ่งต้องนำเข้าสู่การดูแลในสถานพยาบาล
และมีบางส่วน ถ้ายังมีความคิด อยากทำร้ายตัวเองอยู่ก็ต้องส่งเข้ารักษาแบบผู้ป่วยใน ซึ่งคนที่มีภาวะเช่นนี้เราเจอได้กระจัดกระจายในทุกกลุ่มวัย แต่ที่เจอเยอะจริงๆ คือคนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมาก บริเวณขอบชายแดนเพราะอาจจะมีความกังวลมากกว่า คนในพื้นที่ที่อยู่ห่างออกมา