จี้คุมดอกเบี้ยต่ำยาว รอเศรษฐกิจโตเกิน3% เอื้อผู้กู้รายย่อยเข้าถึงสินเชื่อ
ช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2568 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และสถาบันการเงินเฉพาะกิจหลายแห่งประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ไปที่ระดับ 1.50%
เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจและเพื่อให้ภาวะการเงินเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจและช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มเปราะบาง
จี้รัฐปรับโครงสร้างดอกเบี้ย
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรเปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ไม่เคยเห็นธนาคารเอกชนลดดอกเบี้ยเท่ากับดอกเบี้ยนโยบายของกนง.
ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติตามอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเทียบกับช่วงที่ผ่านมาที่ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยเพียง 50 % หรือ 2ใน 3 ของดอกเบี้ยนโยบายที่ประกาศลดลงเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น ยังมองว่า ดอกเบี้ยยังอยู่ในเกณฑ์ที่สูง โดยเฉพาะดอกเบี้ย MLR ที่มีโปรโมชั่นในช่วงสั้นๆ เพียง 3 ปีแรกจากนั้นจะปรับขึ้นเฉลี่ย 6-7%
จึงมีข้อเรียกร้องถึงรัฐบาลคือ กระทรวงการคลัง ช่วยพิจารณาหารือร่วมกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)คนใหม่ ให้ปรับโครงสร้างดอกเบี้ยทั้งหมด โดยเฉพาะ MLR เพื่อให้ผู้กู้รายย่อยและธุรกิจผ่อนคลายและช่วยให้เข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
อีกมุมมองว่า กระทรวงคลัง โดยรัฐบาลไม่มีอำนาจสั่งธนาคารพาณิชย์ แต่อาจขอความร่วมมือช่วยเหลือดีเวลลอปเปอร์ที่สะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความยากลำบาก เพราะต้นทุนสูง แต่มองว่า เป็นการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารเท่านั้น
ขณะที่การปล่อยสินเชื่อใหม่มองว่า จะยังคงยากขึ้นกว่าเดิมและการปฎิเสธสินเชื่อยังคงสูงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ
นายสุนทรกล่าวต่อว่า สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร (วันที่19 สิงหาคม) เรียกร้องไปถึงรัฐบาลหารือร่วมธปท. เจรจากับธนาคารพาณิชย์ ผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อตรงตามข้อเท็จจริง เนื่องจากพบว่า กรณีลูกค้ากู้ไม่ผ่าน เช่ เกิดจากบริษัทที่ทำงานมีผลประกอบการที่ขาดทุน แม้ว่ ผู้กู้มีรายได้ที่ดีก็ตามซึ่งสมาคมมองว่า ควรพิจารณาที่ตัวบุคคลมากกว่าบริษัท
หรือหาก ธนาคารต้องพิจารณาบริษัทควบคู่ไปด้วย ควรมองที่กระแสเงินสดในมือมากกว่าผลประกอบการขาดทุนกำไร พนักงานรายได้ 7 หมื่นบาทถึง 1 แสนบาทต่อเดือน แต่บริษัทมีผลกำไรขาดทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้สินเชื่อแบงก์หดตัว นอกจากนี้กรณีเปลี่ยนที่ทำงานใหม่หากต้องการขอสินเชื่อ ต้องรอพิจารณาประวัติการทำงานใหม่
ที่สำคัญธนาคารพาณิชย์ ควรพิจารณาปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มอาชีพอิสระรวมถึงมนุษย์เงินเดือนที่ควรนับรวมถึงรายได้พิเศษ หรือเงินล่วงเวลา จะทำให้สามารถกู้บ้านได้เพิ่มขึ้น
เช่นเดียวกับเด็กจบใหม่ที่ธนาคารเพ่งเล็งเป็นพิเศษและไม่ปล่อยสินเชื่อโดยง่าย เนื่องจากเห็นว่าไม่เคยมีประสบการณ์ผ่อนบ้านมาก่อน ทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า จะเป็นลูกค้าที่มีวินัยมากน้อยแค่ไหน ต่างกับคนที่เคยผ่อนบ้านกับธนาคารจะเห็นถึงวินัยอย่างไร จึงตัดสินใจปล่อยสินเชื่อใหม่ได้
อย่างไรก็ตาม รัฐควรเห็นความสำคัญที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่มีความมั่นคงระยะยาวสำหรับผู้บริโภค จากการตรวจสอบ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ทั้งระบบพบว่า มีอยู่ประมาณ 13 ล้านล้านบาทที่ต้องแก้ไข ขณะที่อยู่อาศัยมีเพียง 5 ล้านล้านบาทเท่านั้น สะท้อนว่า มีผลกระทบน้อยมาก
“สมาคมเรียกร้องให้กระทรวงการคลังเจรจากับผู้ว่าธปท.คนใหม่สร้างสมดุล เกี่ยวกับดอกเบี้ยต้องต่ำในระยะยาวจนกว่าจีดีพีประเทศจะขยายตัวสูงกว่า 3%ขึ้นไปจึงจะปล่อยให้ดอกเบี้ยทรงตัวหรือปรับขึ้น นอกจากนี้ต้องรักษาสมดุลของเงินเฟ้อรวมถึงค่าเงินบาทให้มั่นคงมีเสถียรภาพเชื่อว่าจะสามารถแข่งขันกับประเทศคู่ค้าได้” นายสุนทรกล่าว
วอนแบงก์ปล่อยสินเชื่อตามจริง
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทยระบุว่า นับเป็นเรื่องที่ดีที่ธนาคารพาณิชย์พร้อมใจกันปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ลง เพื่อผ่อนคลายผู้กู้รายย่อย ส่งผลให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้เพิ่ม 2%
ขณะเดียวกันจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยคงค้างในระบบของที่อยู่อาศัยมูลค่า 5 ล้านล้านบาท เมื่อลด MRR 0.25% จะลดลงมากถึง 12,500 ล้านบาทต่อปี
ข้อเสนอสมาคมอาคารชุดไทย นอกจากต้องการให้รัฐประสานกับธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยในระยะยาวแล้ว ยังต้องการให้ ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อตามความจริงต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจประเทศขับเคลื่อนต่อได้
ดอกเบี้ยลด มีผลบางระดับราคา
เช่นเดียวกับตลาดรับสร้างบ้านช่วงครึ่งแรกปี 2568 เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและถือเป็นปีที่ค่อนข้างเหนื่อยสำหรับผู้ประกอบการ จากปัจจัยเศรษฐกิจ การเมืองและต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น
ทำให้ตลาดโดยรวมมีมูลค่าหดตัวลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ 96,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับมูลค่า 107,000 ล้านบาทในครึ่งแรกปี 2567 นั้น แสดงให้เห็นถึงแรงกดดันที่ภาคธุรกิจต้องเผชิญอย่างชัดเจน
นายอนันต์กร อมรวาที นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน(HBA)กล่าวว่า การหดตัวของตลาดส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าลดลงจาก 25% ในปี 2567 เหลือ 20% ในปี 2568
ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 80% สะท้อนให้เห็นถึงการกระจายตัวของกำลังซื้อที่อาจได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและภาวะตลาดที่แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค
เมื่อวิเคราะห์ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ หลายคนอาจมองว่า การปรับลดดอกเบี้ยเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการลดดอกเบี้ย 0.25%
ล่าสุดมีผลกระทบอย่างมากกับตลาดอสังหาฯโดยรวม แต่สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านนั้น ผลกระทบอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักเป็นกลุ่มที่สร้างบ้านในระดับราคา 5 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 70% ของยอดขายทั้งหมด
“ลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีกำลังซื้อสูง ไม่ได้พึ่งพาการกู้ยืมเงินจากธนาคารมากนัก หรือหากมีการกู้ยืมก็จะเป็นการกู้ในสัดส่วนที่น้อยและมีแนวโน้มที่จะปิดบัญชีสินเชื่อได้เร็วกว่ากำหนด ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยมากนัก”
อย่างไรก็ตาม การปรับลดดอกเบี้ยยังมีผลดีต่อกลุ่มลูกค้าที่สร้างบ้านในระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีสัดส่วน 5% และต้องพึ่งพาสินเชื่อเป็นหลัก ซึ่งจะได้ประโยชน์โดยตรงจากต้นทุนการกู้ยืมที่ลดลง ทำให้การตัดสินใจสร้างบ้านง่ายขึ้น
ซึ่ง สมาคมฯ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินที่เสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษให้กับลูกค้าที่ทำสัญญากับบริษัทสมาชิก ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน “แรงส่ง” ที่สำคัญที่จะกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีหลัง
ศูนย์วิจัยกสิกรคงเป้าสินเชื่อ-0.6%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ของแบงก์รอบนี้ส่งผ่านได้เร็วและเต็มที่กว่าการปรับลดดอกเบี้ยในรอบก่อนๆ โดยธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่กลุ่ม D-SIBs ที่ยอดคงค้างสินเชื่อรวมกันประมาณ 85% ของระบบแบงก์ไทยประกาศปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้เพียงขาเดียวในช่วง 1-2 วันหลังผลประชุมกนง.
“เป็นที่น่าสังเกตว่า ขนาดการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR MRR และ MOR ลง 0.25%รอบนี้ เท่ากับขนาดการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งคงต้องยอมรับว่า เป็นสถานการณ์ที่ไม่พบบ่อยนักในช่วงดอกเบี้ยขาลงระยะหลังๆ”
ทั้งนี้ ผลจากการปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ในรอบนี้ จะทำให้ภาระดอกเบี้ยของลูกหนี้ธุรกิจและรายย่อยปรับลดลงรวมกันประมาณ 5,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าผลดีของการปรับลดดอกเบี้ยในรอบก่อนในเดือนพ.ค. 2568 ที่ประเมินไว้ที่ 4,400-4,900 ล้านบาท
อานิสงส์ส่วนใหญ่จะอยู่กับสินเชื่อธุรกิจ สินเชื่อบ้านและสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีหลักประกัน เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน
อย่างไรก็ดี ด้วยภาพเศรษฐกิจครึ่งหลังของปี 2568 ที่อาจขยายตัวได้ต่ำกว่าครึ่งปีแรก และยังมีความไม่แน่นอนอีกหลายประเด็นที่อาจกดดันความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกหนี้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังคงตัวเลขคาดการณ์ภาพรวมสินเชื่อระบบแบงก์ไทยปี 2568 ไว้ที่ -0.6% ตามเดิม ซึ่งนับเป็นการติดลบของสินเชื่อระบบแบงก์ไทยเป็นปีที่สองติดต่อกัน
สินเชื่อแบงก์ Q2/68 หดตัว-0.9%
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ (รวมเครือ) ไตรมาส2 ปี 2568 โดยรวมยังหดตัวต่อเนื่อง แต่อัตราชะลอลงอยู่ที่ -0.9%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ติดลบถึง 1.3%
โดยสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อธุรกิจ SMEs และสินเชื่ออุปโภคบริโภคหดตัวต่อเนื่อง ตามความเสี่ยงด้านเครดิตที่ยังอยู่ในระดับสูง
ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อ NPL ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 5.55 แสนล้านบาท หลักๆ จากสินเชื่อธุรกิจ ขณะที่ปริมาณ NPL ของสินเชื่ออุปโภคบริโภคปรับลดลงทุกประเภท ส่งผลให้สัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวม ทรงตัวอยู่ที่ 2.91%
ส่วนสินเชื่อ Stage2 ปรับลดลงในเกือบทุกพอร์ต หลังจากลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ส่งผลให้สัดส่วน stage2 ลดลงอยู่ที่ 6.88%
หน้า 1 หนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 4,124 วันที่ 21 - 23 สิงหาคม พ.ศ. 2568